วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

[HxH] โซนาต้านรกานต์ บทเพลงจากซาตานถึงมนุษย์

บทเพลงและดนตรีต่างๆ นับเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตศักราช และมีบทบาทที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดนตรีเพื่อประกอบพิธีกรรม การใช้กล่อมฝูงสัตว์เลี้ยง หรือดนตรีที่ใช้รับฟังเพื่อความบันเทิง และดนตรีหรือเสียงเพลงยังเป็นสิ่งที่ช่วยเชื่อมให้คนทั้งโลกได้ใกล้ชิดกันโดยไม่มีการแบ่งแยกแนวดนตรีและภาษา

แต่ในทางตรงกันข้าม ณ มุมใดมุมหนึ่งของโลก ก็ยังมีดนตรีที่ถูกเรียกว่าเป็นดนตรีต้องห้าม ดนตรีต้องคำสาป หรือบทเพลงจากปีศาจ ที่เมื่อได้ฟังก็จะทำให้เกิดหายนะต่อผู้ฟัง ซึ่งประเด็นนี้เป็นอีกเรื่องที่ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ นั่นคือเพลง "โซนาต้านรกานต์" ที่มีตัวละครในเรื่องอย่างฮันเตอร์ดนตรีเซ็นริส เป็นผู้ตามหาและต้องการที่จะทำลายมันทิ้ง และในบทความนี้ เราจะมาคุยกันถีงเรื่องราวของบทเพลงอาถรรพ์ซึ่งมีอยู่ทั้งในเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ และในโลกของเรากันค่ะ

เซ็นริส ฮันเตอร์ดนตรีผู้ตามหาโน๊ตเพลงโซนาต้านรกานต์

เพลงโซนาต้า (Sonata) เป็นภาษาอิตาลี มาจากภาษาลาตินว่า "โซนาเร (Sonare)" ที่มีความหมายว่าเสียง เป็นบทเพลงเดี่ยว เน้นบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชิ้นเดียว หรือเป็นบทเพลงเดี่ยวที่มีเปียโนบรรเลงประกอบ เพื่อเน้นเทคนิคการบรรเลงของเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียว แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของเครื่องดนตรี สุนทรีย์ที่ได้จากเครื่องดนตรีชิ้นเดียว และความสามารถของผู้บรรเลง เพลงโซนาต้าที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในโลก เช่น Moonlight Sonata ของ บีโธเฟน, Turkish March ของ โมสาร์ท หรือ Sonata in B minor ของ ลิซท์

เพลง "โซนาต้านรกานต์" หรือ "Sonata of Darkness, 闇のソナタ (Yami no sonata)" เป็นเพลงบรรเลงเดี่ยวที่ว่ากันว่าซาตานเป็นผู้แต่งขึ้น ได้ยินว่ามีโน๊ต 4 เวอร์ชั่นด้วยกันสำหรับใช้เล่นกับเปียโน ฟลุ๊ต ไวโอลิน และฮาร์ฟ (พิณฝรั่ง) หากมนุษย์นำมาเล่นหรือได้ฟัง จะทำให้เกิดหายนะอันน่าสะพรึงกลัวขึ้น - (ข้อมูลจากหนังสือฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ เล่มที่ 8)
เซ็นริสและเพื่อนๆ ของเธอ เป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องประสบกับความหายนะจากบทเพลงนี้ เธอกล่าวว่าในขณะที่เพื่อนของเธอนำมาเพลงนี้เล่น พวกเธออยู่ในสภาพที่เมากันมาก เซ็นริสซึ่งเป็นคนที่ฟังไปได้เพียงท่อนเดียวถึงกับมีสภาพร่างกายที่ผิดปกติไปจากเดิม ส่วนคนที่เล่นนั้นเสียชีวิตคาที่ และเวอร์ชั่นที่เธอได้ฟังคือเวอร์ชั่นของฟลุ๊ต ด้วยเพราะเหตุนี้ เธอจึงไม่อยากให้ใครต้องมาพบเจอกับเรื่องร้ายๆ จากบทเพลงนี้เหมือนกับเธอและเพื่อน เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นฮันเตอร์ดนตรีเพื่อตามหาโน๊ตเพลงนี้ และทำลายมันทิ้ง

เซ็นริสเล่าเรื่องของเพลงให้คุราปิก้าฟัง จากหนังสือฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ เล่มที่ 8

ขณะเดียวกัน ในโลกของเราก็ยังมีบทเพลงอาถรรพ์ที่ทำให้คนฟังฆ่าตัวตายไปมากกว่า 200 รายทั่วโลก และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง นั่นก็คือเพลง Gloomy Sunday หรือที่ถูกขนานนามว่า "บทเพลงแห่งความตาย" นั่นเอง

Gloomy Sunday หรือแปลได้ว่า "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า" เป็นเพลงที่แต่งขึ้นโดยกวีชาวฮังการีนามว่า เรสโซ เซเรสส์ (Reszo Seress) เขาเกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1899 มีชื่อเดิมว่า "รูดอล์ฟ สปิตเซอร์ (Rudolf Spitzer)" ในวัยเด็ก เขาออกจากโรงเรียนและเริ่มต้นใช้ชีวิตจากการเป็นนักแสดงกายกรรมในคณะละครสัตว์ แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุ เขาจึงลาออกมาเป็นนักแสดงในโรงละคร และทำงานเป็นนักดนตรีในร้านอาหารแห่งหนึ่งในเวลาต่อมา

เรสโซ เซเรสส์ กวีชาวฮังการี

ด้วยฐานะที่ยากจน ทำให้เขาต้องหาเลี้ยงชีพโดยการแต่งเพลงไปด้วย ในปีค.ศ. 1933 เขาได้เขียนเพลง Gloomy Sunday ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากบทกวีของลาซโล ยาโวร์ (Laszlo Javor) กวีชาวฮังการี และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เรสโซซึ่งมีเชื้อสายยิวได้ถูกส่งเข้าค่ายแรงงาน แต่ก็มีชีวิตรอดจนสงครามสิ้นสุด

โดยจุดเริ่มต้นในปีค.ศ. 1933 เกิดขึ้นมาจากเรสโซ นักแต่งเพลงผู้ยากจน เขาพยายามหาเลี้ยงชีพอยู่ในนครปารีส แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก เพราะเพลงแต่ละเพลงของเขาไม่ได้รับความสนใจ อีกทั้งคนรักของเขาก็ไม่เห็นด้วย ทำให้ทะเลาะกันอยู่หลายครั้งจนทั้งคู่ต้องแยกทางกัน

ด้วยเหตุนี้ ในวันอาทิตย์วันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ฝนตก เรสโซผู้หดหู่และเศร้าหมองด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ก็ได้แต่งเพลงนี้ขึ้นมาโดยใช้การบรรเลงด้วยเปียโน เขาใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีในการแต่งเพลงเสร็จ จากนั้นก็ส่งไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ แต่ก็ไม่ได้การยอมรับ จนกระทั่งมีสำนักพิมพ์บทประพันธ์แห่งหนึ่งรับไว้ และหลังจากวันนั้น โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากเพลงบทนี้ก็ได้กระจายไปยังมหานครต่างๆ ทั่วโลก

หลังจากที่เพลงนี้ถูกเผยแพร่ออกไปไม่นาน เรสโซเองก็เจอกับชะตากรรมอันเลวร้าย เมื่อคิดจะไปคืนดีกับคนรัก แต่ในเวลาต่อมาเขาก็พบว่าคนรักของเขาได้กินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว และพบแผ่นกระดาษบทเพลง Gloomy Sunday ตกอยู่ข้างร่างของเธอ

ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ขอให้วงดนตรีเล่นเพลง Gloomy Sunday ให้ฟัง หลังจากนั้น เขากลับบ้านและยิงตัวตายหลังบ่นกับญาติๆ ว่าเขารู้สึกกดดันอย่างรุนแรงกับท่วงทำนองเพลงที่ไม่อาจลบมันออกไปได้

สัปดาห์ต่อมาที่กรุงเบอร์ลิน สาวผู้ช่วยร้านขายของแขวนคอตายอยู่ในแฟลตที่พัก พบบทเพลง Gloomy Sunday อยู่ในห้องของเธอด้วย

สองวันหลังจากนั้น เลขานุการในนิวยอร์กได้ฆ่าตัวตายด้วยแก๊ส เธอเขียนในจดหมายลาตายขอร้องให้เล่นเพลงนี้ในงานศพของเธอด้วย

สัปดาห์ถัดมา ชาวนิวยอร์กอีกรายเป็นชายวัย 82 ปี ได้กระโดดจากหน้าต่างอพาร์ตเม้นท์ชั้น 7 ลงมาตายหลังจากที่เล่นเพลงนี้

ในเวลาไล่เลี่ยกัน วัยรุ่นหนุ่มกรุงโรม ก็ได้กระโดดสะพานฆ่าตัวตาย หลังจากได้ฟังเพลงนี้เช่นเดียวกัน

ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้หนึ่งได้ยิงตัวตายหลังจากได้อ่านเนื้อเพลงนี้ และรายต่อมา เป็นเด็กผู้หญิงที่พยายามกินยาพิษฆ่าตัวตายเมื่อได้ยินเพลงนี้จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง

ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ชายคนหนึ่งได้ยิงตัวตายในขณะที่เพลงนี้กำลังบรรเลงอยู่ และรายอื่นๆ อีกมากมาย

รัฐบาลฮังการีได้สั่งห้ามไม่ให้เปิดเพลงนี้ออกอากาศ แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังเกิดขึ้นในที่อื่นๆ อีก เช่น ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางบีบีซีได้ถูกสั่งห้ามเปิดเพลงนี้เช่นกัน แต่ในสหรัฐอเมริกา ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็ไม่ได้สนใจที่จะออกมาห้ามอย่างรัฐบาลอังกฤษและฮังการี จนทำให้อังกฤษเคยสั่งแบนเพลงนี้ช่วงหนึ่งเนื่องจากกระทบขวัญและกำลังใจของทหารในช่วงสงคราม

และในปี 1968 เรสโซ่ เซเรสส์ ซึ่งไม่สามารถแต่งเพลงได้อีกหลังจากแต่งทำนองเพลง "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า" และความเครียดจากปัญหาในชีวิตหลายอย่าง ทำให้เขาตัดสินใจกระโดดจากชั้นแปดของอาคารแห่งหนึ่งลงมาเสียชีวิต ขณะมีอายุได้ 68 ปี

โดยสรุปแล้ว มีคนฆ่าตัวตายที่เกี่ยวข้องกับเพลงนี้ประมาณ 200 รายทั่วโลก


และความเกี่ยวข้องระหว่างดนตรีกับปิศาจหรือเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ นอกจากเพลงอาถรรพ์ Gloomy Sunday แล้ว ในประวัติศาสตร์ก็ยังมีเรื่องราวของนักดนตรี ศิลปิน และกวีอีกหลายรายที่กระทำการ "สัญญากับปิศาจ" หรือ Deal with the devil อีกด้วย

การทำสัญญากับปิศาจเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่แพร่หลายในภาคตะวันตกของโลก และได้รับการเสริมเติมแต่งมาจากตำนานของเฟาสต์ (Legend of Faust) และตำนานเรื่องปิศาจเมฟิสโตเฟลิส (Mephistopheles) พบมากในนิทานพื้นบ้านที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ โดยเป็นการต่อรองแลกเปลี่ยนของมนุษย์กับซาตาน หรือปิศาจ ซึ่งมนุษย์เสนอจะยกวิญญาณของตนให้กับปิศาจ เพื่อแลกกับการที่ปิศาจจะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้ การตอบแทนของปิศาจนี้ล้วนแล้วแต่แตกต่างกันไปตามความเชื่อ เช่น ความเยาว์วัย ความมั่งมี ความรอบรู้ หรืออำนาจวาสนา และยังมีความเชื่อด้วยว่าคนที่ทำสัญญาเช่นนี้เพียงเพื่อแสดงการยอมรับว่าตนมีปิศาจเป็นนาย และไม่ต้องการมีสิ่งใดแลกเปลี่ยนเลย แต่การต่อรองเช่นนี้ก็นับเป็นอันตรายมากๆ อย่างหนึ่ง เพราะค่าตอบแทนแรงงานของปิศาจนั้น ก็คือวิญญาณของผู้ที่มาขอแลกนั่นเอง

ในส่วนของนักดนตรี ก็มีสัญญาในประวัติศาสตร์ซึ่งอ้างว่าทำกับปิศาจ โดยมีความคิดที่ว่า "ขายวิญญาณของเจ้า เพื่อความรุ่งโรจน์หรือความเป็นเลิศทางด้านดนตรีของเจ้า" เกิดขึ้นหลายครั้งในวงการเพลงของโลก โดยเฉพาะในวงการเพลงแนวกีต้าร์นำ หรือวงการเพลงบลูส์ลูกทุ่งก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง (pre-World War II rural Blues) และผู้ที่ได้อ้างว่าได้ทำสัญญากับปิศาจเพื่อแลกกับความสามารถด้านดนตรี เช่น นิกโกเลาะ ปากานีนี - นักไวโอลินชาวอิตาลี, จูเซ็ปเป้ ตาร์ตินี่ - นักไวโอลินและนักแต่งเพลงชาวอิตาลี, ทอมมี่ จอหน์สัน - นักดนตรีเพลงบลูส์ เป็นต้น และในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงเรื่องราวของ จูเซ็ปเป้ ตาร์ตินี่ ผู้ถูกกล่าวขานถึงเรื่องนี้กันมากที่สุด และเกี่ยวข้องกับบทเพลงโซนาต้า


จูเซ็ปเป้ ตาร์ตินี่ (Giuseppe Tartini) มีชีวิตอยู่ในปีค.ศ. 1692 - 1770 เป็นยอดนักประพันธ์และนักไวโอลินชาวอิตาลีบุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์โลกดนตรี เป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงดนตรีบรรเลงที่มีผลงานมากกว่า 400 ผลงาน ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ใช้ในโบสถ์ หรือโอเปร่า และผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ II Trillo del Diavolo หรือรู้จักกันในชื่อ Devil's Trill เป็นบทประพันธ์ไวโอลินโซนาต้าที่มีประวัติชวนให้ขนลุก โดยทุกอย่างเริ่มต้นจากความฝันในคืนหนึ่งของตาร์ตินี่ ในปีค.ศ. 1765

ในคืนนั้น ตาร์ตินี่ได้พบกับบทเพลงไวโอลินโซนาต้าที่ไพเราะที่สุดนชีวิตของเขา เสียงเพลงนั้นพาเขาไปพบกับปิศาจผู้เป็นต้นตอของเสียงเพลงนี้ ในความฝันนั้นเขาได้ส่งไวโอลินของเขาให้กับซาตานที่มอบบทเพลงแสนไพเราะนี้ให้ เพื่อชีวิตการเป็นนักไวโอลินของเขาจะมีชื่อเสียง แต่แล้วทุกอย่างก็หายไปเมื่อเขาตื่นขึ้น ซึ่งตาร์ตินี่ได้เขียนบรรยายไว้ว่า "ผมได้ยินโซนาต้าบทหนึ่งที่แปลกประหลาดแต่ไพเราะมาก บรรเลงด้วยฝีมือชั้นยอดและเปี่ยมด้วยจินตนาการในแบบที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครทำได้ ผมรู้สึกหมดเรี่ยวแรงเพราะแทบลืมหายใจ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบอย่างหมดแรง ทันใดนั้นเอง ผมเริ่มจับไวโอลิน โดยหวังว่าจะจดจำบางเสี้ยวของสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาได้ แต่ก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง"


มีเรื่องเล่าว่าหนึ่งปีก่อนที่ตาร์ตินี่จะฝันถึงปิศาจนั้น มือของเขาถูกบาดจากการดวลดาบ และต้องเลิกเล่นไวโอลินไป ทำให้เขารู้สึกหมดหวังในการเล่นไวโอลิน เขาเริ่มหันไปประพันธ์เพลง และเริ่มรับอุปถัมป์นักดนตรีเด็กรุ่นใหม่จากทั่วยุโรป ทำให้เกิดคำพูดติดปากว่า "สิ่งที่สอนได้ แต่ทำไม่ได้" บทเพลง Devil's Sonata กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ และดูเหมือนจะเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับคนที่พยายามจะเล่นเพลงนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เพลงนี้ก็กลายเป็นที่น่าจดจำสำหรับทั่วโลก รวมทั้งเรื่องราวอันน่าพิศวงของตาร์ตินี่เองก็เป็นที่จดจำไม่แพ้กัน และในอีก 5 ปีต่อมา ตาร์ตินี่ได้จากโลกนี้ไปด้วยอายุเพียง 27 ปี

และทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องราวของบทเพลง และดนตรีที่ได้ชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับ และเกิดเรื่องราวน่าแปลกประหลาดขึ้นบนโลกของเราโดยที่ไม่สามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้เหมือนกับเรื่องราวน่าขนลุกของเพลง "โซนาต้านรกานต์" ในฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้บรรเลงและรับฟังมัน และยังคงตามหาเนื้อเพลงไม่พบจนปัจจุบัน

อากิ

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

[HxH] แฟรงเกนสไตน์ x แฟรงคลิน x ยักษ์ใหญ่แห่งโลกวรรณกรรม

หากพูดถึงตัวละครในเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ ที่มีรูปร่างหรือภาพลักษณ์ที่คนทั่วไปนิยมคุ้นชินกัน หนึ่งในนั้น แน่นอนว่าต้องมีตัวละครที่ชื่อว่า "แฟรงคลิน" หนึ่งในสมาชิกกองโจรเงามายาอยู่ในนั้นด้วยแน่นอน

ด้วยลักษณะทางกายภาพที่ดูเหมือนปีศาจชื่อดังก้องโลก หรือที่รู้จักกันในนาม "แฟรงเกนสไตน์" จึงทำให้แฟนๆ ฮันเตอร์ฯ หลายๆ คนคาดเดาที่มาที่ไปของตัวละครตัวนี้กันได้ไม่ยาก และในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับอสุรกายชื่อดัง "แฟรงเกนสไตน์" ผู้เป็นต้นแบบของแฟรงคลินแห่งกองโจรเงามายา และอีกหลากหลายตัวละครจากภาพยนตร์ และการ์ตูนเรื่องต่างๆ กันค่ะ

แฟรงคลิน สมาชิกกองโจรเงามายา

แฟรงเกนสไตน์เป็นผลงานนวนิยายสยองขวัญชื่อดังของแมรี่ วูลส์ตันคราฟท์ เชลลี่ย์ (Marry Wollstonecraft Shelly) เธอเกิดในปีค.ศ. 1797 และเสียชีวิตในปีค.ศ. 1851 เธอเขียนทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทความ สารคดีท่องเที่ยว ประวัติบุคคล และยังช่วยเป็นบรรณาธิการให้กับงานของสามีที่มีทั้งกวีนิพนธ์และงานเขียนแนวปรัชญา ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเธอคือนวนิยายเรื่อง Frankenstein : The Modern Prometheus ซึ่งเป็นงานเขียนที่เล่นกับแนวคิดใหม่ของโลก ที่กำลังค้นหาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เช่น การค้นพบไฟฟ้า ความก้าวหน้าทางการแพทย์ และปรัชญาแนวใหม่

แมรี่ เชลลี่ย์ ผู้แต่งนวนิยายแฟรงเกนสไตน์

เธอได้ความคิดในการเขียนนิยายเรื่องนี้ในปีค.ศ. 1816 ด้วยวัยเพียง 18 ปี ในวันนั้น เธอได้เดินทางไปเที่ยวพักผ่อน ณ คฤหาสน์ใหญ่ของลอร์ด ไบรอน ที่สวิสเซอร์แลนด์กับสามี แต่สภาพอากาศที่นั่นเกิดฝนตกหนัก ทั้งสามจึงติดอยู่ในคฤหาสน์ไม่สามารถออกไปไหนได้ จึงได้คิดการละเล่นขึ้นมาด้วยการแต่งเรื่องสยองขวัญแข่งกันเองเพื่อหาผู้ชนะที่แต่งได้น่ากลัวที่สุด ปรากฏว่านิยายของแมรี่เป็นเรื่องที่แต่งได้น่ากลัวที่สุด และยังคงความเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้

นวนิยายเรื่องแฟรงเกนสไตน์นี้มีการแต่งอยู่สามสำนวน แมรี่เขียนสำนวนแรกจบในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1817 และตีพิมพ์ออกจำหน่ายในเดือนมกราคม ปีค.ศ. 1818 ที่ลอนดอน โดยไม่ระบุนามผู้แต่ง และพิมพ์ออกมาเพียง 500 เล่มเท่านั้น ต่อมาในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1822 นวนิยายชุดแฟรงเกนสไตน์ก็ได้รับการตีพิมพ์อีกครั้ง โดยแบ่งออกเป็นสองเล่มหนึ่งชุด สาเหตุที่ได้รับการตีพิมพ์เพราะนวนิยายเรื่องนี้ถูกนำไปสร้างเป็นละครเวที และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และในการพิมพ์ครั้งนี้ได้ระบุชื่อ "แมรี่ เชลลีย์" เป็นผู้ประพันธ์ไว้ด้วย
และสำนวนที่สามนั้นออกวางจำหน่ายในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1831 เป็นเล่มใหญ่เล่มเดียว แต่เป็นฉบับที่แมรี่แก้ไขขึ้นใหม่เกือบทั้งหมดเพื่อให้ถูกใจนักวิจารณ์ และยังเขียนเพิ่มถึงต้นกำเนิดของนวนิยายเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเป็นสำนวนที่คนนิยมอ่านกันมากที่สุด

นวนิยายแฟรงเกนสไตน์ในยุคแรกๆ

ในโลกวรรณกรรมตะวันตกยุคก่อน นักประพันธ์และกวีส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย นักเขียนและกวีที่มีชื่อเสียงที่สามารถตีตลาดวรรณกรรมได้ล้วนแต่เป็นผู้ชายทั้งสิ้น จนทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เกิดขึ้นว่าพวกผู้หญิงไม่มีความคิด หรือด้อยการศึกษา บางคนถึงขนาดกล่าวว่าวรรณกรรมเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับผู้หญิง แต่ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และความคิดในขณะนั้น ยังมีนักประพันธ์ผู้หญิงอีกหลายๆ คนที่ลุกขึ้นมาจับปากกาโดยไม่สนใจคำวิจารณ์เหล่านั้น และสามารถสร้างชื่อจนถึงระดับสูงได้ และหนึ่งในนั้นก็คือผู้สร้างตัวละครที่โด่งดังที่สุดอย่างแฟรงเกนสไตน์ ก็คือแมรี่ เชลลี่ย์ คนนี้นี่เอง

แฟรงเกนสไตน์เป็นเรื่องราวของนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งชื่อ "วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ (Victor Frankenstein)" ที่ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาจากชิ้นส่วนซากศพมนุษย์ โดยนำหลายๆ ชิ้นมาประกอบเข้าด้วยกันโดยวิธีทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์

วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ เกิดที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1790 เป็นบุตรของนักการเมืองและคหบดีผู้มั่งคั่ง เขามีเพื่อนสนิทชื่อ เฮนรี่ เคลอวัล ผู้ชักนำให้วิกเตอร์สนใจเรื่องพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าและแหล่งกำเนิดชีวิต เมื่อเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ก็ได้นำการศึกษาเรื่องนี้ต่อ โดยมุ่งหวังจะเป็นผู้บุกเบิกแนวทางใหม่ในการแสวงหาพลังที่ไม่มีใครรู้จักเพื่อไขความลี้ลับของการกำเนิดชีวิต โดยพยายามที่จะทำให้คนที่ตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีพ วิธีการก็คือ นำเอาชิ้นส่วนศพจากหลายศพมาเย็บรวมกันไว้ให้แข็งแรงและสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ในที่สุด วิกเตอร์ก็ทำให้ศพที่เขาเย็บรวมกันนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้จริงๆ แต่ผู้คนรวมถึงวิกเตอร์ก็พากันหวาดกลัวและไม่มีใครยอมรับมัน

ที่ตั้งประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จุดกำเนิดแฟรงเกนสไตน์

ต่อมาในภายหลัง อสุรกายผู้น่าสงสารตนนี้ก็อยากจะมีเพื่อนบ้าง มันจึงสาบานว่าถ้ามันมีเพื่อน มันจะหลบไปอยู่ในป่าลึก ไม่ยุ่งกับใครอีก แต่วิกเตอร์เจ้านายของมันไม่อยากทำการชุบชีวิตอสุรกายแบบนี้ขึ้นมาอีก อสุรกายตนนี้จึงจำเป็นต้องฆ่าทั้งเพื่อนและคนรักของวิกเตอร์ เพียงเพื่อให้เขาทำตามที่มันขอ สุดท้าย วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ก็หนีไป และตรอมใจตายในที่สุด ซึ่งเมื่ออสุรกายตนนี้รู้ ก็เสียใจและตายตามวิกเตอร์ผู้ให้ชีวิตมัน และต่อมานาม "แฟรงเกนสไตน์" นี้ ก็เป็นชื่อที่คนรุ่นหลังใช้เรียกเจ้าอสุรกายตนนี้แทน

ชื่อ "แฟรงเกนสไตน์" นอกจากจะไม่ใช่ชื่อของเจ้าอสุรกายตัวประหลาดนี้แล้ว คำว่าแฟรงเกนสไตน์ยังสามารถใช้ในความหมายเดียวกับปีศาจ อสุรกาย สัตว์ หรือพืชที่มีลักษณะประหลาดได้อีกด้วย จึงนับเป็นความผิดพลาดในเชิงประวัติศาสตร์ และการใช้คำผิดความหมายนี้ยังส่งผลให้ชื่อของผู้สร้างถูกโอนไปยังสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งแมรี่ เชลลี่ย์ ที่เป็นผู้แต่งนวนิยายเรื่องนี้ ก็ใช้คำเรียกอสุรกายตัวนี้ด้วยคำที่หลากหลาย เช่น Monster, Wretch หรือคำที่เขียนตามแบบวรรณกรรม คือคำว่า Creature, Daemon และใช้คำสรรพนามเวลาเรียกว่า "It" อีกด้วย

อีกหนึ่งความเชื่อในเรื่องของรูปลักษณ์ของแฟรงเกนสไตน์ หากพูดถึงแฟรงเกนสไตน์แล้ว ผู้คนส่วนมากมักจะนึกถึงปีศาจชายร่างใหญ่ตัวเขียว มีน็อตตัวโตอยู่บริเวณขมับทั้งสองข้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว แต่เดิมนั้น แฟรงเกนสไตน์คือปีศาจที่มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อหลายๆ ชิ้นของมนุษย์ที่ถูกเย็บติดกันทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดสมอง หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนของอวัยวะต่างๆ  ที่เห็นได้ชัดเจนคือรอยเย็บบนใบหน้าและส่วนต่างๆ ของร่างกาย อีกทั้งวิทยาการทางการแพทย์ในสมัยก่อนยังไม่มีความก้าวหน้ามากนัก จึงทำให้รูปร่างของแฟรงเกนสไตน์ในยุคดั้งเดิมนั้น ไม่ได้ดูน่าเกรงขามจนค่อนไปทางหล่อเหลาเหมือนอย่างในสมัยนี้

ภาพลักษณ์ของแฟรงเกนสไตน์ในยุคดั้งเดิม

นอกจากลักษณะภายนอกแล้ว อิทธิฤทธิ์ของแฟรงเกนสไตน์นั้นก็ยังเป็นที่โจษจันในเรื่องของพละกำลังมหาศาล ทำงานได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อาวุธธรรมดาไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดแก่ปีศาจตนนี้ได้ หรือแม้กระทั่งสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ไม่สามารถสร้างความหวาดหวั่นให้กับมันได้ เนื่องจากถูกสร้างขึ้นโดยวิธีของวิทยาศาสตร์นั่นเอง นอกจากนี้ มันก็ไม่ต้องกินอาหารเพื่อเพิ่มเลือดหรือพละกำลังอีกด้วย

ภาพลักษณ์ของแฟรงเกนสไตน์สมัยใหม่

และด้วยความโด่งดังของนวนิยายเรื่องแฟรงเกนสไตน์นี้ ทำให้สื่อบันเทิงทุกแขนงทั่วโลกพากันนำเรื่องราวของปีศาจตนนี้ไปเผยแพร่ต่อสาธารณะจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการ์ตูนอนิเมชั่น ภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือตามสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ทั้งยังเป็นแบบอย่างสำหรับเค้าโครงหรือรูปร่างตัวละครต่างๆ ในความบันเทิงอีกหลากหลายรูปแบบด้วย

และตัวละคร "แฟรงคลิน" ในฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ ก็จัดว่าเป็นตัวละครที่มีการอิงรูปแบบมาจากแฟรงเกนสไตน์ในสมัยใหม่มามาก รวมถึงบทบาทของแฟรงคลินในเรื่อง ยังเป็นตัวละครที่มีความสุขุม แข็งแรง ตัวโต และทรงพลัง ตามแบบฉบับของอสุรกายจากการทดลองผู้ไม่มีชื่อ แต่ผู้คนทั่วโลกต่างเรียกว่า "แฟรงเกนสไตน์" 

แฟรงคลิน เวอร์ชั่นปี 1999

แฟรงคลิน เวอร์ชั่นปี 2011

อากิ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

[HxH] Blood Moon x พระจันทร์สีเลือด x หมายสำคัญจากฟากฟ้า

Blood Moon หรือปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดที่ปรากฏอยู่ในตอนแห่งค่ำคืนการล้างแค้นของคุราปิก้าและอุโบกิ้น ซึ่งถือเป็นอีกตอนยอดนิยมในฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ ทั้งในเวอร์ชั่นปี 1999 และเวอร์ชั่นปี 2011 นับเป็นอีกหนึ่งในฉากหลังของเรื่องที่ช่วยขับบรรยากาศของการแก้แค้นให้ดูน่ากลัวและมีมนต์ขลังยิ่งขึ้น


พระจันทร์สีเลือดอาจฟังดูไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในปัจจุบัน แต่ในทางความเชื่อที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน พระจันทร์สีเลือดมักจะถูกตีความหมาย รวมถึงถูกทำนายตามหลักความเชื่อต่าง ๆ ไปในทิศทางที่น่ากลัว เช่น การเกิดลางร้าย ไปจนถึงสัญญาณแห่งวันสิ้นโลก และในบทความนี้ เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับพระจันทร์สีเลือด ว่าแท้ที่จริงแล้วพระจันทร์สีเลือดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับลางร้าย หรือการล้างแค้นที่ปรากฏอยู่ในเรื่องหรือไม่ รวมทั้งตำนาน และหลากหลายความเชื่อของพระจันทร์สีเลือด

ภาพการเกิดจันทรุปราคา

พระจันทร์สีเลือดถูกเรียกในชื่อที่เรารู้จักคุ้นเคยกันดี นั่นก็คือ "จันทรุปราคา" (Lunar Eclipse) หรือชื่ออื่น ๆ เช่น จันทรคราส, ราหูอมจันทร์, กบกินเดือน เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านหลังโลก เกิดได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์เรียงตัวตรงกันพอดีหรือใกล้เคียงกันมาก โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง ชนิดและระยะของจันทรุปราคาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงจันทร์เทียบกับวงโคจร และเมื่อจันทรุปราคาเกิดขึ้นแล้ว ดวงจันทร์จะไม่มืดสนิทเหมือนดวงอาทิตย์ยามเกิดสุริยุปราคา เพราะแสงอาทิตย์บางส่วนจะสามารถหักเหเล็ดลอดผ่านโลก มายังดวงจันทร์ได้ โดยเฉพาะแสงคลื่นยาว เช่น แสงสีแดง จึงทำให้มองเห็นดวงจันทร์เป็นสีแดงคล้ำ ๆ เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้

ระดับ 0 ดวงจันทร์มืดจนแทบมองไม่เห็น
ระดับ 1 ดวงจันทร์มืด เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล แต่มองไม่เห็นรายละเอียด พื้นผิวของดวงจันทร์
ระดับ 2 ดวงจันทร์มีสีแดงเข้มบริเวณด้านในของเงามืด และมีสีเหลืองสว่างบริเวณด้านนอกของเงามืด
ระดับ 3 ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐ และมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบของเงามืด
ระดับ 4 ดวงจันทร์สว่างสีทองแดงหรือสีส้ม ด้านขอบของเงาสว่างมาก


และสาเหตุที่ดวงจันทร์เป็นสีแดง หรือที่เรียกกันว่า "พระจันทร์สีเลือด" เป็นเพราะว่าแสงจากดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่ถูกโลกบัง แต่ก็ยังมีแสงอาทิตย์บางส่วนเดินทางไปตกกระทบดวงจันทร์ได้ ทำให้ดวงจันทร์ยังสามารถสะท้อนแสงมายังโลกได้เล็กน้อย แต่แสงจากดวงอาทิตย์ที่เล็ดลอดจากเงาโลกผ่านไปยังดวงจันทร์ได้นั้น จะเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศของโลกและเกิดการกระเจิง (Scatter) แสงสีน้ำเงินที่มีความยาวคลื่นสั้นจะถูกกระเจิงออกไป เหลือเพียงแสงสีแดงซึ่งมีความยาวคลื่นมากกว่า และแสงสีแดงที่เล็ดลอดไปได้นี้เองที่ไปตกกระทบกับดวงจันทร์ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "พระจันทร์สีเลือด" ขึ้น

พระจันทร์สีเลือดยามค่ำคืน ณ ประเทศกรีซ
ตามปกติแล้ว พระจันทร์เต็มดวงในแต่ละเดือนจะถูกตั้งชื่อต่าง ๆ มาโดยตลอดตั้งแต่โบราณ โดยชื่อเรียกของพระจันทร์ตามหลักดาราศาสตร์ถูกแบ่งเป็น 2 หมวดหลัก คือพระจันทร์ที่ขึ้นจากฝั่งซีกโลกเหนือ และพระจันทร์ที่ขึ้นจากฝั่งซีกโลกใต้ รวมทั้งชื่อแยกย่อยตามเดือนทั้ง 12 เดือน

ในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดวงจันทร์นั้นทิ้งปริศนาไว้มากมาย จนทำให้กลุ่มคนที่มีความเชื่อและความศรัทธาในศาสนา มองว่าอาจะเป็นการเตือนจากพระเจ้า จึงทำให้มีหนังสือด้านปรัชญามากมายที่ถูกตีพิมพ์ออกมาเพื่อเรียกกระแสจันทรุปราคา โดยในปี 2013 มีหนังสือขายดีเรื่อง Four Blood Moons : Something is About to Change เขียนโดย John Hagee ซึ่งมีประโยคในหนังสือที่ยกมาจากพระคัมภีร์ไบเบิลว่า "The sun will be turned to darkness, and the moon to blood before the great and dreadful day of LORD comes." 


เหตุการณ์ในครั้งนี้ ยังไปเกี่ยวพันกับความเชื่อของศาสนายิว เพราะจันทรุปราคานั้นเกิดตรงกับช่วงเทศกาลสำคัญพอดี คือเทศกาลปัสกาและเทศกาลอยู่เพิง ทำให้สื่อต่าง ๆ หันมาเรียกปรากฏการณ์จันทรุปราคาให้ออกไปในทิศทางที่น่ากลัวว่า Blood Moons หรือ พระจันทร์สีเลือดนั่นเอง

และเมื่อเกิดจันทรุปราคา จึงทำให้คนตีความไปตามความเชื่อเช่น พระจันทร์สีเลือดอาจเป็นเหตุทำให้เกิดอาเพศ บางคนถึงกับเชื่อสุดใจว่าพระจันทร์สีเลือดที่ปรากฏบนท้องฟ้า อาจบ่งบอกถึงวันพิพากษา และวันสิ้นสุดของโลกที่กำลังจะมาถึง ดังนั้น ปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดจึงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่มีใครอยากจะเห็นสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อใดที่มันปรากฏขึ้น ย่อมหมายถึงสัญญาณของวันพิพากษาที่กล่าวอ้างไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในบทกิจการอัครสาวก บทที่ 2 ข้อที่ 20 และบทวิวรณ์ บทที่ 6 ข้อที่ 12

ในส่วนของตำนานและเรื่องเล่าจากหลากหลายความเชื่อของผู้คนทั่วโลก มีปรากฏว่าแทบจะทั่วทุกมุมโลกต่างก็มีความเชื่อในเรื่องของการเกิดจันทรุปราคารวมถึงสุริยุปราคาด้วยกันทั้งสิ้น บ้างก็คล้ายคลึงกัน แต่ก็จะแตกต่างกันบ้างตามลักษณะความเชื่อ และอ้างอิงจากวัฒนธรรมที่คนแต่ละท้องถิ่นนั้นคุ้นเคย

ตำนาน Ragnarok ของชาวไวกิ้ง (Viking)


ตำนานแรกนาร็อค (Ragnarok) วันพิพากษาเทพเจ้า หรือ Gotterdammerung คือสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างเหล่าเทพฝ่ายดีกับเหล่าเทพฝ่ายร้าย หลังจบสงคราม เอกภพจะดับสูญและจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกเลย เป็นจุดจบแห่งจักรวาล โดยเริ่มจากเหมันต์แห่งเหมันต์ หรือฤดูหนาวอันยาวนานติดกัน 3 ฤดูโดยไม่มีฤดูร้อนคั่นกลาง ความขัดแย้งและความอาฆาตพยาบาทจะกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ศีลธรรมจะดับสูญ หมาป่าทั้งสองซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หมาป่าสโคล (Skoll) จะกลืนกินดวงอาทิตย์ และพี่ของมัน หมาป่าฮาติ (Hati) จะกลืนกินดวงจันทร์ จนโลกมืดมิดไปทุกหนแห่งดวงดาวทั้งหลายหายไปจากฟากฟ้า หมาป่าสองตัวนี้มีความปรารถนามาตั้งแต่เกิดคืออยากจะกัดกินดวงดาวทั้งสองให้สิ้นซาก และก็สามารถทำได้สำเร็จตามตำนานแรกนาร็อค

หมาป่าสโคลและฮาติ ไล่กัดกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

ตำนานกรีก - โรมันโบราณ
ตามวรรณคดีกรีกและโรมันโบราณ ได้กล่าวถึงตำนานและความเชื่อของการเกิดพระจันทร์สีเลือดนี้ไว้ว่าเกิดจากการดึงพระจันทร์ ซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ที่ใช้ทำเสน่ห์จำพวกหนึ่ง เป็นเวทย์มนตร์คาถาที่นิยมใช้กันมากในหมู่แม่มดแห่งเมืองเทสซาลี (Thessaly) ปัจจุบันอยู่ในประเทศกรีซ โดยว่ากันว่า แม่มดจะเปลือยกายทำพิธีแล้วกล่าวว่า "ท่านหญิงแห่งดวงจันทร์ จงฟังข้า" จากนั้นก็จะทำการมัดพระจันทร์ เมื่อพระจันทร์ถูกดึงลงมา พระจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด หรือสีแดงเลือด พร้อมทั้งทิ้งฟองสีขาว หรือน้ำหวานจากพระจันทร์ไว้ตามต้นไม้ใบหญ้า เพื่อให้แม่มดเก็บไปทำยาเสน่ห์

กวีพลูทาร์ค (Plutarch) ได้อธิบายการดึงพระจันทร์ไว้ว่าเป็นการพยายามตีความการเกิดจันทรุปราคาในรูปแบบหนึ่ง โดยนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องเหนือธรรมชาติ การดึงพระจันทร์นี้ทำให้เห็นความน่าสนใจว่า ในหลายวัฒนธรรม ก็มีการขอพรจากพระจันทร์มายาวนานเช่นกัน ทั้งด้านความรัก และการขอพรทั่วไป

ตำนานของชาวอินเดียนเซอร์ราโน


ชาวอินเดียนเซอร์ราโน (Serrano Indian) เป็นชนพื้นเมืองอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมีความเชื่อที่แตกต่างออกไป พวกเขาชื่อว่าคราส หรือจันทรุปราคาและสุริยปราคานั้น เกิดจากการที่วิญญาณของคนตายกำลังจะกัดกินดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ดังนั้น ในช่วงระหว่างการเกิดคราส พ่อมดหมอผี หรือ Shaman รวมทั้งบริวารจะร้องรำทำเพลงและเต้นรำ เพื่อขอให้ดวงวิญญาณปลดปล่อยดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ในขณะที่คนอื่น ๆ จะตะโกนร้องเสียงดังเพื่อให้วิญญาณตกใจหนีไป

ตำนานของชาวโพโม
ชาวโพโม (Pomo) ชนพื้นเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่ในแถบรัฐแคลอฟอร์เนียตอนเหนือ ก็มีตำนานเกี่ยวกับหมี ซึ่งเดินทางไปยังทางช้างเผือก เมื่อหมีพบกับดวงอาทิตย์ ต่างฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันว่าใครควรจะหลีกทางให้ เมื่อเถียงไม่ได้ผลจึงเกิดการต่อสู้กัน ทำให้เกิดเป็นสุริยุปราคา แต่ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างก็แยกกันไปทางใครทางมัน จนกว่าจะโคจรมาพบกันอีก ส่วนจันทรุปราคานั้นก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน คือหมีไปพบกับดวงจันทร์บนทางช้างเผือก เกิดการโต้เถียงและต่อสู้กัน

ตำนานฮินดูโบราณ

ราหูถูกนางโมหิณีใช้จักรบั่นเศียรจนขาด

ชาวฮินดูโบราณมีตำนานราหูอมอาทิตย์และราหูอมจันทร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการกวนเกษียรสมุทร อสูรตนหนึ่งชื่อ ราหู ได้แปลงกายเป็นเทวดา และแอบแฝงตัวเข้ามาดื่มน้ำอมฤตเข้าไปด้วย เมื่อเทพพระอาทิตย์และเทพพระจันทร์เห็นเข้าจึงฟ้องนางโมหิณี นางโมหิณีนี้ แท้จริงแล้วคือพระนารายณ์ซึ่งจำแลงพระองค์มาหลอกเอาน้ำอมฤตจากพวกอสูรกลับไปให้เหล่าเทวดา นางโมหิณีจึงใช้จักรสุทรรศนะบั่นเศียรของราหู แต่เนื่องจากราหูดื่มน้ำอมฤตลงไปจนถึงคอแล้ว เศียรจึงยังคงเป็นอมตะอยู่ ด้วยเหตุนี้ ราหูจึงโกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่นำเรื่องไปฟ้อง จึงคอยจ้องจะแก้แค้นโดยการกินพระอาทิตย์กับพระจันทร์เมื่อมีโอกาส เกิดเป็นสุริยุปราคา (ราหูอมอาทิตย์) และจันทรุปราคา (ราหูอมจันทร์) มาตั้งแต่บัดนั้น

ตำนานของมนุษย์หมาป่า


อีกหนึ่งความเชื่อที่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์หมาป่ามาช้านาน โดยเฉพาะในช่วงยุโรปยุคกลาง โดยเชื่อกันว่ามนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ถ้าหากเป็นคืน "พระจันทร์สีเลือด" มนุษย์หมาป่าจะมีพลังอำนาจที่กล้าแกร่งมาก ดังนั้น ก่อนจะถึงคืนพระจันทร์สีเลือด ชาวยุโรปสมัยก่อนจะนำสิ่งมีชีวิตมาเซ่นบูชามนุษย์หมาป่า โดยมีความเชื่อว่า เพื่อไม่ให้มนุษย์หมาป่ามาทำร้ายมนุษย์นั่นเอง

จากหลากหลายตำนานและความเชื่อที่ได้กล่าวไป โดยส่วนมากแล้วก็มักจะเกี่ยวข้องกับความหายนะ หรือวันพิพากษา และจุดจบของโลก ดังนั้น Blood Moon หรือดวงจันทร์สีเลือดที่ได้ปรากฏขึ้นในตอนที่คุราปิก้าล้างแค้นอุโบกิ้น อาจจะเป็นสัญลักษณ์บอกผ่านทางอ้อมว่า ค่ำคืนนั้นจะเป็นค่ำคืนสุดท้าย และจุดจบของอุโบกิ้น นอกจาก Blood Moon ที่ปรากฏให้เห็นในฉากของการแก้แค้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉากของเรื่องดูสมบูรณ์แล้ว ยังอาจจะแฝงนัยยะต่าง ๆ ตามความเชื่อ เกี่ยวกับจุดจบของมนุษย์ ที่ได้จบชีวิตลงเพราะการแก้แค้นก็เป็นได้

อากิ


วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

[HxH] อาคารสูงเสียดฟ้า ราชาแห่งความศิวิไลซ์ของคนเมือง

อีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ นั่นก็คือ Heaven's Arena หรือ ลานประลองกลางหาว ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะนำมาพูดถึงกันในบทความนี้ และเปรียบเทียบกับตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกของเรา มาดูกันว่าความสูงของแต่ละตึกนั้นจะแตกต่างกันมากหรือไม่ และมาทำความรู้จักกับตึกระฟ้าอันเลื่องชื่อของโลกเรากันค่ะ


หอลานประลองกลางหาวในเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์นั้นจัดเป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการต่อสู้ประลองฝีมือที่โด่งดังมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนผืนทวีปเดียวกับสาธารณรัฐปาโดเกีย บ้านของคิรัวร์ ลานประลองกลางหาวอยู่ทางทิศตะวันออกของทวีป ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปาโดเกีย

แผนที่โลกในฮันเตอร์ x ฮันเตอร์

ข้อมูลตามที่ปรากฏในเรื่องกล่าวไว้ว่า ลานประลองกลางหาวเป็นตึกที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ด้วยความสูง 3,250 ฟุต มีทั้งหมด 251 ชั้น หากสามารถประลองชนะคู่ต่อสู้ในแต่ละชั้นก็จะได้เงินรางวัลตอบแทน ยิ่งชนะในชั้นสูง ๆ ได้ เงินรางวัลก็จะยิ่งเยอะขึ้น และตั้งแต่ชั้นที่ 100 ขึ้นไป ก็จะมีห้องพักส่วนตัวให้สำหรับผู้ที่ชนะการประลองด้วย โดยคิรัวร์ที่เคยมาต่อสู้ ณ ลานประลองนี้ตอนอายุ 6 ขวบ ก็สามารถชนะจนขึ้นไปถึงชั้นที่ 190 และมีเงินรางวัลจ่ายให้มากถึงสองร้อยล้านเจนี่กันเลยทีเดียว แต่เจ้าตัวก็นำเงินเหล่านั้นไปซื้อขนมหมดเกลี้ยงภายใน 4 ปี


ในส่วนของข้อมูลรายละเอียดของแต่ละชั้นในลานประลองกลางหาว คิดว่าทุกคนคงจะได้รับรู้จากการอ่านหนังสือหรือจากการดูในอนิเมชั่นทั้งสองเวอร์ชั่นไปแล้ว ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาเน้นในเรื่องของสิ่งก่อสร้างที่มีทั้งความสูง และมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับลานประลองกลางหาวกันค่ะ

โดยตึกระฟ้าที่จะกล่าวถึงนี้ มีชื่อเดิมว่า "บุรจญ์ดูไบ" หรือ "หอคอยดูไบ" ต่อมาถูกเปลี่ยนชือเป็น "บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์" เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ชีกห์ เคาะลีฟะฮ์ บิน ซายิด อัลนะฮ์ยาน เจ้าผู้ปกครองนครอาบูดาบี และประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั่นเอง

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์บนแผนที่โลก

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ริมอ่าวเปอร์เซีย มีพรมแดนติดกับประเทศซาอุดิอาราเบีย โอมาน และกาตาร์ มีการปกครองโดยแบ่งออกเป็น 7 รัฐ แต่ละรัฐมีการปกครองแบบท้องถิ่นเป็นของตัวเอง มีเมืองหลวงคือกรุงอาบูดาบี ประชากรร้อยละ 96 นับถือศาสนาอิสลาม แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นก็จัดเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากอีกประเทศหนึ่ง โดยจำนวนประชากรทั้งหมดอยู่ที่ 9.27 ล้านคน (ในปี 2016) แบ่งเป็นชาวเอมิเรตส์ร้อยละ 19 ในขณะที่มีชาวเอเชียใต้มากถึงร้อยละ 45 ชาวอาหรับอื่น ๆ และชาวตะวันตกกับชาวเอเชียอื่น ๆ อีกร้อยละ 13

แม้ว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นจะตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายอันแห้งแล้ง แต่ก็จัดเป็นประเทศที่มีการพัฒนาสูงที่สุดในโลก และเป็นเขตเศรษฐกิจที่ดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว และหากพูดถึงประเทศนี้แล้ว สิ่งที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้อีกอย่างก็คือความภาคภูมิใจของประเทศและของเมืองดูไบ นั่นก็คือตึกที่สูงที่สุดในโลก บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์นั่นเอง

บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ ตึกที่สูงที่สุดในโลก

บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์มีความสูงมากถึง 828 เมตร หรือประมาณ 2,717 ฟุต มี 162 ชั้น ความสูงของตึกนับว่าสูงมากกว่าหอไอเฟลถึง 3 เท่า ภายในประกอบด้วยโรงแรมในชั้นที่ 1 ถึง 37 , อพาร์ตเม้นต์ในชั้นที่ 45 ถึง 108 โดยที่เหลือจะเป็นสำนักงาน และชั้นที่ 123 ถึง 124 จะเป็นตึกชมวิวของตึก ส่วนบนของตึกจะเป็นเสาอากาศสื่อสาร นอกจากนี้ ในชั้นที่ 78 ยังเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่อีกด้วย

ชั้นต่าง ๆ ของตึกโดยละเอียด
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

นอกจากจะครองตำแหน่งตึกที่สูงที่สุดในโลกแล้ว บุจรญ์เคาะลีฟะฮ์แห่งนี้ยังครองตำแหน่งต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น ตำแหน่งตึกที่มีจุดชมวิสูงที่สุดในโลก หรือตึกที่มีลิฟต์สูงที่สุดในโลกอีกด้วย โดยลิฟต์มีความสูงมากถึง 140 ชั้น เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 10 เมตรต่อวินาที ด้วยความเร็วดังกล่าว ทำให้สามารถขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 124 ของตึกได้ด้วยเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น โดยจะสามารถมองเห็นวิวโดยรอบได้ไกลถึง 95 กิโลเมตร หากจะขึ้นไปยังจุดชมวิวสามารถขึ้นไปได้ในระหว่างเวลา 10.00 น. - 22.00 น. ในวันอาทิตย์ถึงวันพุธ และในเวลา 10.00 น. - 24.00 น. ในวันพฤหัสถึงวันเสาร์

วิวโดยรอบจากตึกชั้นที่ 124

บุจรญ์เคาะลีฟะฮ์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2547 แล้วเสร็จในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ออกแบบโดยสถาปนิก เอเดรียน สมิธ สถาปนิกจากชิคาโก สหรัฐอเมริกา จากสำนักงานสถาปนิกเอสโอเอ็ม (SOM - Skidmore Owings & Merrill LLP) ผู้ออกแบบเดียวกันกับ "เซียร์ทาวเวอร์" อาคารที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ใช้พื้นที่ฐานของอาคารเป็นรูปตัว Y โดยได้รับแรงบันดาลใจจากดอกไม้ทะเลทรายในตระกูล Hymenocallis ซึ่งช่วยให้โครงสร้างที่มั่นคงสูงสุดแก่ตัวอาคาร และมีพิธีเปิดอาคารอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553 นอกจากนี้ บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ยังถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Mission Impossible 4 ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคของซีรี่ย์ภาพยนตร์อีกด้วย

ความสูงของตึกเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ตึกบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ยังจัดเป็นอีกหนึ่งโครงการก่อสร้างที่สำคัญของดูไบ ซึ่งประกอบด้วยบุรญุลอะร็อบ โรงแรมที่หรูที่สุดในโลก และหมู่เกาะต้นปาล์ม รวมไปถึงดูไบมารีน่า และดูไบมอลล์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยโครงการทั้งหมดได้รับการรับรองจากรัฐบาล และโดยการท่องเที่ยวของประเทศซึ่งต้องการให้ประเทศเป็นจุดสนใจที่สำคัญจุดหนึ่งของโลก

โรงแรมบุรญูลอะร็อบและหมู่เกาะต้นปาล์ม

บุรจญ์เคาะลีฟะห์ได้กลายมาเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก และสูงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างบนโลกใบนี้ ปัจจุบันในนครดูไบยังได้มีโครงการก่อสร้างตึกใหม่ในชื่อ "นัคฮีลทาวเวอร์" ที่กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบและวางแผน แม้ความสูงจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่ก็ถูกประมาณการไว้ว่าจะมีความสูงมากถึง 1,400 เมตรเลยทีเดียว

และต่อจากนี้ เราจะมาเปรียบเทียบความสูงระหว่างสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกของเรา บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ และสิ่งก่อสร้างที่สูงเป็นอันดับ 4 ในฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ หรือลานประลองกลางหาวกันค่ะ

ลานประลองกลางหาว มีความสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ประกอบด้วยจำนวนชั้น 251 ชั้น รวมความสูงทั้งสิ้น 3,250 ฟุต
บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ มีความสูงเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ประกอบด้วยจำนวนชั้น 162 ชั้น รวมความสูงทั้งสิ้น 2,717 ฟุต

จากการเปรียบเทียบดังกล่าว ยังเห็นได้ชัดเจนว่าอันดับที่ 1 ของโลกเรานั้น ยังห่างไกลกับอันดับที่ 4 ของโลกฮันเตอร์ x ฮันเตอร์พอสมควร แต่หากตึกในโครงการใหม่ของดูไบ "นัคฮีลทาวเวอร์" ถูกสร้างเสร็จ และการประมาณการความสูง 1,400 เมตรนั้นเป็นความจริง เท่ากับว่าลานประลองกลางหาวที่มีความสูง 3,250 ฟุต จะถูกนัคฮีลทาวเวอร์แซงหน้าไปด้วยความสูงถึง 4,593 ฟุต ไปได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวซึ่งจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตของโลกเรา รวมทั้งยังเป็นที่จับตามองของประชาชนชาวอาหรับเอมิเรตส์เอง รวมถึงผู้คนทั่วโลกด้วยเช่นกันค่ะ ทราบแบบนี้แล้ว ก็อยากจะรู้เหมือนกันนะคะว่าตึกที่สูงที่สุดในโลกฮันเตอร์ x ฮันเตอร์นั้น จะมีความสูงมากมายถึงขนาดไหน และจะเป็นตึกที่มีการใช้งานแบบไหนในเรื่องกันแน่ มาร่วมลุ้นเรื่องราวเล็ก ๆ อีกเรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กับแฟน ๆ ฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ทั่วโลก และแอบหวังเล็ก ๆ ว่าจะมีการกล่าวถึงโดยอาจารย์โทงาชิบ้างค่ะ

สำหรับบทความนี้ขอทิ้งท้ายด้วยภาพสวย ๆ จากลานประลองกลางหาว และบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์มาให้ชมกันค่ะ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็พบว่าสวยงาม อลังการ และมีความคล้ายคลึงกันมากจริง ๆ และหากท่าใดสนใจจะติดตามบทความในเฟสบุ๊ค รวมถึงข่าวคราว และเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ ก็สามารถเข้ามาร่วมพูดคุยกันได้ที่เพจ HxH in The Real World (โลกฮันเตอร์ของอากิ) และขอขอบคุณที่ติดตามกันมาโดยตลอดค่ะ

อากิ












วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

[HxH] ทวีปมืด x แอมะซอน x Danger Zone แห่งโลกฮันเตอร์และโลกมนุษย์

ในโลกของเราและโลกในการ์ตูนเรื่อง ฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ เต็มไปด้วยสถานที่ที่มีความหลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใจกลางเมือง ย่านดาวทาวน์หรือแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี ชนบทห่างไกลความเจริญ หรือแม้กระทั่งดินแดนซึ่งมนุษย์ไม่ควรแก่การย่างกรายเข้าไปใกล้

ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงสถานที่ประเภทสุดท้ายที่ได้ยกตัวอย่างไป ดินแดนแห่งความอันตรายทั้งในโลกของฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ และในโลกแห่งความเป็นจริงของเรา พื้นที่ซึ่งเปรียบเสมือนนรกบนดิน ซึ่งไม่เหมาะหากจะเดินทางไปที่แห่งนั้นโดยไร้ซึ่งความรู้ในการเอาชีวิตรอด นั่นก็คือทวีปมืด และป่าแอมะซอน นั่นเองค่ะ

ความลี้ลับของป่าแอมะซอนและทวีปมืด

หากใครที่ได้ติดตามเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ในช่วง 2 - 3 ปีมานี้ ก็คงจะคุ้นเคยกับสถานที่ที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ในชื่อของ "ทวีปมืด" หรือ "Dark Continent" ซึ่งทวีปมืดเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของความที่เป็นทวีปขนาดใหญ่ มีทรัพยากรล้ำค่าต่าง ๆ มากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัวและภัยพิบัติอีกมากมาย ความอันตรายของทวีปมืดนั้นได้คร่าชีวิตผู้ที่เดินทางมาเยือนไปเป็นจำนวนมาก โดยตามบันทึกของกลุ่ม V5 ที่ถูกอ้างอิงตามบันทึกของดอน ฟรีคส์ ได้กล่าวไว้ว่าในช่วงเวลา 300 ปี มีการเดินทางไปยังทวีปมืดที่ถูกบันทึกได้ถึง 149 ครั้ง มีเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่มีผู้รอดชีวิตกลับมา และมีเพียง 3 คน ที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ 

ด้วยกิตติศัพท์แห่งความโหดร้ายและอันตรายของทวีปมืด ทำให้ชวนนึกถึงป่าดิบชื้นแห่งหนึ่งบนโลกของเราที่มีความกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยสิ่งซ่อนเร้นและอันตรายมากมายจนได้รับฉายาว่า "นรกสีเขียว" หรือที่รู้จักกันในนาม "ป่าแอมะซอน" ซึ่งถ้าพูดถึงความอันตรายของมันแล้ว สามารถเทียบเท่าระดับน้อง ๆ ทวีปมืดได้เลยทีเดียว และมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าสนใจ ดังนั้นอย่ารอช้าอยู่เลยค่ะ เราไปทำความรู้จักกับป่าแอมะซอนแห่งนี้กันเถอะ!

ป่าดิบชื้นและแม่น้ำแอมะซอน

ป่าแอมะซอนเป็นป่าดิบชื้นที่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีพื้นที่มากถึง 7 ล้านตารางกิโลเมตร โดยที่พื้นที่ของป่าดิบชื้นอยู่ที่ 5.5 ล้านตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ของประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ถึง 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล เปรู โคลอมเบีย เวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา พื้นที่กว่า 60% อยู่ในประเทศบราซิล และบราซิลก็เป็นประเทศที่เคยตกเป็นประเทศอาณานิคมของประเทศโปรตุเกส ดังนั้นภาษากลางของที่นี่จึงเป็นภาษาโปรตุเกส

ป่าแอมะซอนเป็นป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในโลก และมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก ปัจจุบันมีจำนวนสปีชี่ส์ของพืชที่รู้จักกันในแถบนี้ 40,000 สปีชีส์ ปลา 2,200 ชนิด ซึ่งถือเป็นอาหารหลักของผู้คนที่นี่ นก 1,200 กว่าชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 400 กว่าชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 300 กว่าชนิด สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอีก 400 กว่าชนิด ว่ากันว่าจำนวนสปีชี่ส์ทั้งหมดบนโลกนี้ 1 ใน 3 สามารถพบได้ที่แอมะซอน

ความกว้างใหญ่ของป่าแอมะซอนเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกผลิตขึ้น จะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซออกซิเจนมากกว่า 30% ของโลก ทำให้ที่แอมะซอนแห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าเป็น "ปอดของโลก" และเป็นป่าที่มีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลย์ของสภาพภูมิอากาศของโลก ป่าแอมะซอนยังเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ไม่ว่าจะเป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี พืชสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรค แร่ธาตุต่าง ๆ ไปจนถึงสัตว์นานาชนิด

แม้ว่าแอมะซอนจะเป็นแม่น้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลกคือแม่น้ำไนล์ แต่แม่น้ำแอมะซอนเป็นที่หนึ่งในเรื่องของจำนวนน้ำที่ไหลผ่านมายังแม่น้ำแห่งนี้ น้ำจืดทั้งหมดที่พบในแม่น้ำแอมะซอนรวมแล้วเป็นประมาณ 20% ของน้ำจืดในแม่น้ำทั้งโลก ความกว้างของแม่น้ำในฤดูแล้งอยู่ที่ประมาณ 1.6 - 10 กิโลเมตร และสามารถขยายได้ถึง 48 กิโลเมตรในช่วงฤดูฝน 

ที่ตั้งและพื้นที่ของป่าแอมะซอน

วิถีชีวิตแต่เดิมของชนพื้นเมืองในแอมะซอนนัั้นใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ จับปลา ปลูกพืช มีภาษาเป็นของตนเอง และในทุกวันนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนบรรพบุรุษโดยไม่เปลี่ยนแปลง แอมะซอนจัดเป็นโซนหนึ่งในโลกซึ่งมีคนอาศัยอยู่หลายเผ่า หลายภาษา หลายชาติพันธุ์ 

ในยุคแห่งการล่าอาณานิคม ป่าแอมะซอนไม่ได้มีการถูกค้นพบ แต่ถูกรุกรานโดยชาวโปรตุเกสและสเปนที่เข้ามา ในช่วงนั้นคาดกันว่ามีชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแอมะซอนมากกว่าสามล้านคน ชนพื้นเมืองบางส่วนถูกชาวยุโรปฆ่าเพื่อแย่งชิงพื้นที่ บางส่วนก็ถูกบังคับให้เป็นแรงงานในเหมืองหรือในไร่อ้อย นอกจากนั้น คนยุโรปในสมัยนั้นยังได้เอาเชื้อโรคบางชนิดมาด้วย ทำให้ชนพื้นเมืองที่ในสมัยนั้นไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อโรคต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวแอมะซอนไม่ใช่เพียงแค่การรุกรานของชาวโปรตุเกสและชาวยุโรป ยังมีปัญหาเกิดขึ้นอีกเมื่อมีการค้นพบยางพารา การค้นพบยางพาราทำให้เมืองมาเนาส์ (Manaus) ในประเทศบราซิล ซึ่งเป็นเมืองที่มีพรมแดนติดกับแอมะซอนเติบโตขึ้นมาเป็นเมืองจากการทำยางพารา ในเวลาต่อมา รัฐบาลของรัฐอนาซอนัสได้มีการออกสำรวจสิ่งที่จะทำให้ตัวเองมั่งคั่งได้อีกนอกจากยางพารา ก็ได้เดินทางเข้ามายังแอมะซอนเพื่อค้นหาสิ่งที่จะสามารถทำให้ร่ำรวยขึ้นมาอีกได้ กลุ่มคนที่เข้ามาแอมะซอนในช่วงแรกเข้ามาหาทองคำ แต่ไม่พบอะไรเลย สิ่งที่พบมีแต่ชนพื้นเมือง ไข้ป่า ไข้มาลาเรีย ปลาปิรันย่า งูอนาคอนด้า และอากาศก็ร้อนมาก ป่าแอมะซอนจึงถูกเรียกว่า "นรกสีเขียว" หรือ "The Green Hell" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทุกวันนี้ป่าแอมะซอนหลงเหลือชนพื้นเมืองอยู่ประมาณ 300 เผ่า มีภาษากว่า 200 ภาษา และยังมีอีกหลายเผ่าที่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีการติดต่อใด ๆ กับโลกภายนอกเลย

ชนเผ่าพื้นเมืองในแอมะซอนซึ่งถูกนักสำรวจค้นพบอย่างบังเอิญ

นอกจากเรื่องภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว ยังมีเรื่องราวของระบบนิเวศน์ สภาพภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิต และพืชพรรณต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และโด่งดังมาก ๆ ในแอมะซอน 

อย่างที่หลาย ๆ คนอาจจะทราบว่าป่าแอมะซอนมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นเหมือนกับป่าร้อนชื้นทั่ว ๆ ไป แต่ในแอมะซอนนั้น เราไม่สามารถถามหาความแน่นอนของสภาพอากาศได้เลย ที่แอมะซอนมีฝนตกทุกวัน บางทีอาจจะแดดออกอยู่ แต่อีกสักพักฝนก็อาจจะตกลงมาอีกก็ได้ ดังนั้น ในแถบลุ่มน้ำแอมะซอนนี้ จึงมีบางพื้นที่ที่เกิดป่าน้ำท่วม หรือ Rainforest Flood เป็นป่าที่มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ใต้น้ำครึ่งหนึ่ง ในเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนจะมีฝนตกทุกวัน ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะขึ้นสูงสุดในเดือนมิถุนายน ในช่วงนี้ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติถึง 8 เมตร แต่พืชที่อยู่ใต้น้ำจะไม่ตาย เพราะพืชบนดินจะสร้างวิธีหายใจที่ช่วยในการสังเคราะห์แสงของตัวเองโดยการสร้างฟองอากาศ ส่วนในบริเวณพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกน้ำท่วมนั้น ต้นไม้ต่าง ๆ ในป่าแอมะซอนจะสูงมากกว่าต้นไม้ในป่าทั่ว ๆ ไปเพราะเป็นป่ารกทึบ แสงแดดไม่สามารถส่องลงมาถึงพื้นได้ แต่อากาศกลับร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก ต้นไม้ในป่าแอมะซอนจึงจะต้องแข่งกันขึ้นให้สูง เพราะยิ่งขึ้นสูง ก็จะยิ่งได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้น หรือถ้าหากว่าเป็นต้นไม้ที่มีขนาดเตี้ย มีความสูงที่ต่ำลงไปก็ต้องมีขนาดใบที่ใหญ่มากขึ้น เพื่อให้ได้รับแสงแดดได้

ป่าน้ำท่วม (Rainforest Flood)

และเนื่องจากขนาดพื้นที่ของป่าที่มีความกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก รวมทั้งมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติที่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ป่าแอมะซอนนี้จึงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งสัตว์แปลกหายาก รวมถึงสัตว์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

ถ้าหากจินตนาการถึงสัตว์ในป่าแอมะซอนแล้ว คนส่วนมากมักจะนึกถึงสัตว์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์ต่าง ๆ เช่น งูอนาคอนด้า หรือปลาปิรันย่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว สัตว์ที่ได้รับการขนานนามว่าน่ากลัวที่สุดในป่าแอมะซอนคือเสือจากัวร์ เพราะเป็นสัตว์ที่มีแรงกัดรุนแรงที่สุด และยังชอบจู่โจมเหยื่อจากด้านหลังโดยที่เหยื่อไม่ทันได้รู้ตัวอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีสัตว์อีกประเภทที่ไม่ได้น่ากลัวเท่างูอนาคอนด้า แต่ก็สำคัญมากถึงขนาดที่เราจำเป็นจะต้องรู้จัก สัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่พบได้แทบจะมากที่สุดในแถบแอมะซอน นั่นก็คือเคแมน อัลลิเกเตอร์ หรือ ตะโขงเคแมน (Caiman Alligator) ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนในแถบนี้ ถ้าไม่ใช่ด้วยสัตว์ที่มองไม่เห็นอย่างแมลงมีพิษหรืองูมีพิษ สัตว์ที่โจมตีคนมากที่สุดก็คือตะโขงเคแมนที่คร่าชีวิตผู้คนสูงเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว

เสือจากัวร์และตะโขงเคแมน นักล่าที่น่ากลัวแห่งแอมะซอน

และหลังจากนี้ เราจะไปทำความรู้จักกับสัตว์อันตรายแห่งลุ่มน้ำแอมะซอนกันค่ะ เนื่องจากมีจำนวนสัตว์แปลก ๆ มากมายที่สามารถหาอ่านได้ตามเว็บไซต์ทั่วไป ดังนั้นในบทความของเรา จึงอยากจะยกตัวอย่างมาเพียงบางชนิด และมีการเสริมข้อมูลที่อาจจะไม่สามารถหาได้ทั่วไปมาให้รู้จักกันค่ะ

สัตว์ชนิดต่อมานั่นก็คือปลาปิรันย่า ในความเป็นจริงแล้วปลาปิรันย่าไม่ได้น่ากลัวมากมายแบบที่เราเคยเห็นกันตามภาพยนตร์ และภาพยนตร์ต่าง ๆ ก็มีการสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปลาปิรันย่าให้คนดูเยอะพอสมควร


ปลาปิรันย่าจัดเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่คนแถวนี้มักจับกินกันเป็นปกติ ความน่ากลัวของปลาปิรันย่าอยู่ที่ฟันซี่เล็ก ๆ ที่แหลมคมราวกันเหล็ก ปลาปิรันย่าจะรอให้เหยื่อตกน้ำแล้วมารุมกินกันเป็นฝูง ซึ่งปลาปิรันย่าทั้งฝูงสามารถกินลูกวัวตัวเดียวให้หมดเหลือแต่กระดูกได้ภายในเวลาเพียง 12 นาที อาหารปกติของปลาปิรันย่าคือลูกวัวของชาวบ้านแถวนั้น ถ้าเป็นอาหารตามธรรมชาติก็คือตะโขง และสัตว์ใด ๆ ก็ตามที่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่า และดูดุร้ายกว่ามัน สัตว์แทบทุกชนิดจะแพ้ปิรันย่าหมดเพราะมากันเป็นฝูงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถหลบได้ ชาวบ้านแถวนี้จะไม่ลงน้ำกันเพราะอาจจะโดนกัดได้ทุกเมื่อ ปลาปิรันย่าหนึ่งตัวสามารถงับนิ้วคนขาดได้ แต่ถ้ามาเป็นฝูง ก็สามารถงับจนไม่เหลือซากได้ ถ้าเลือดออกหรือมีแผลใด ๆ ก็ตามห้ามลงน้ำเด็ดขาด เพราะกลิ่นเลือดจะทำให้ปลาชนิดนี้คลั่งเป็นอย่างมาก

มดกระสุน (Bullet Ant)



มดกระสุน บางคนเรียกว่า "มดทหาร" หรือ "มดยาม" เป็นมดตัวใหญ่ขนาดข้อนิ้ว อาศัยอยู่บริเวณรากไม้ มีหน้าที่คอยเฝ้ารังขนาดใหญ่ของมดชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ลงไป เป็นมดที่ดังมากในป่าแอมะซอน เพราะมันเป็นมดที่กัดแล้วอาจจะถึงตายได้ พิษของมันส่งผลต่อระบบประสาท อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคนเดินป่าที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ มักจะเกิดจากการโดนแมลงเล็ก ๆ กัด เช่น แมงป่อง แมงมุม ไม่ใช่เพราะเสือจากัวร์ เพราะงูอนาคอนด้า หรือเพราะสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่คนชอบจินตนาการกัน

สาเหตุที่มดชนิดนี้ถูกเรียกว่ามดกระสุน เพราะกัดแล้วเจ็บเหมือนถูกยิงด้วยกระสุน บางทีเรียกว่ามด 24 ชั่วโมง เพราะถ้าถูกกัดจะเจ็บนานถึง 24 ชั่วโมง แต่ก็มีชนเผ่าพื้นเมืองบางเผ่าที่อยู่ลึกเข้าไป จะมีพิธีกรรมเต้นรำโดยที่มีมดนี้อยู่ในมือ ในบางภาพถ่ายจะเห็นคนถือตะกร้าที่มีมดนี้อยู่ข้างใน และเต้นรำให้ครบ 24 ชั่วโมง โดยมีความเชื่อว่าหากเต้นรำไปด้วยจะทำให้ความเจ็บบรรเทาลง และยังเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว สามารถแต่งงานหรือเป็นผู้นำนักรบในเผ่าได้

แต่ในทางกลับกัน ประโยชน์ของมดและแมลงในป่าแอมะซอนนี้ นอกจากจะช่วยแพร่พันธุ์ไม้ดอกแล้ว ยังช่วยย่อยสลายซากสัตว์ต่าง ๆ อย่างมดที่เห็นว่ามีพิษ อีกมุมหนึ่ง มูลของมดก็มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ และตัวมดเองก็ยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนต้นไม้ และบนตัวสัตว์อีกด้วย

งูอนาคอนด้า




สัตว์ชื่อดังอย่างงูอนาคอนด้าถูกจัดเป็นงูที่มีความใหญ่มากที่สุดในโลก บางตัวอาจยาวถึง 8 เมตร และหนักมากถึง 200 กิโลกรัม สามารถพบได้ทั่วไปในผืนป่า รวมทั้งบริเวณแม่น้ำ ถ้ามันได้กินสัตว์ที่มีขนาดเท่าคนเข้าไป จะทำให้อิ่มนานไปถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

ยังมีงูอีกชนิดหนึ่งที่แม้จะมีขนาดตัวเทียบเท่ากับงูทั่ว ๆ ไป แต่ความร้ายกาจของมันจัดว่าอยู่ในระดับรุนแรงมาก นั่นก็คือ "งูแม่ยาย" หรือ Mother - in - low Snake หากโดนมันกัด เนื้อจะเปื่อยและหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ คนท้องถิ่นเรียกว่างูแม่ยายเพราะมันชอบลอบกัดจากด้านหลัง

และนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีงูอีกหลากหลายสายพันธุ์ เช่น งูเหลือมต้นไม้ ที่มีพลังในการกัดที่รุนแรง และสามารถรัดเหยื่อที่มีขนาดใหญ่จนกระดูกแตกได้ภายในเวลาไม่กี่นาที รวมทั้งอสรพิษอีกมากมายที่พร้อมจะโจมตีเราทุกเมื่อ หากเข้าไปใกล้รัศมีของมัน ซึ่งสามารถพบได้ทั่วทุกแห่งในแอมะซอน

และเนื่องจากการที่ป่าแอมะซอนมีสายพันธุ์งูอยู่เยอะแยะมากมาย จึงทำให้เมืองมาเนาส์ที่อยู่ติดกับป่าแอมะซอนแห่งนี้ มีแหล่งวิจัยพิษงูที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ด้วย

ความเลื่องลือในความลึกลับและอันตรายของป่าแอมะซอน รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ที่นี่ จึงทำให้มีนักผจญภัยจากทั่วโลกเดินทางมาสัมผัสผืนป่าแอมะซอนแห่งนี้กันอย่างมากมายโดยต้องมีการจ้างไกด์ท้องถิ่นนำทางไปด้วยเพื่อความปลอดภัย นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยมากมายที่เดินทางมาศึกษาเรื่องของระบบนิเวศน์ที่นี่ ทั้งในเรื่องยา พืช การถ่ายทำสารคดี รวมถึงรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติในป่าแอมะซอน


นักวิทยาศาสตร์จะค้นหาแมลงที่สามารถทำให้ป่วย พืชที่ทำให้เกิดอากาแพ้ ฟืนที่ใช้ทำเป็นยา รวมถึงพืชที่ใช้ในการทำเครื่องสำอาง มีบริษัททำเครื่องสำอางหลายแห่งจากฝรั่งเศสมาหาน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ทำน้ำหอม ทำโคโลญ รวมทั้งค้นหาพืชที่ใช้ทำตัวยา พืชที่ใช้รักษามะเร็งหรือเนื้องอก ดังนั้น งานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์หรือทางด้านชีววิทยาในป่าแอมะซอนจึงเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ พืชบางชนิดก็ใช้ทำน้ำหอมที่มีราคาสูง เช่นน้ำหอมยี่ห้อชาแนล นัมเบอร์ไฟว์ ก็เป็นน้ำหอมที่มาจากต้นโรสวู้ดซึ่งเติบโตในป่าตามธรรมชาติในแอมะซอน แต่ไม่สามารถตัดต้นไม้ไปได้ เพราะมีกฏห้ามผลิตน้ำมันหอมจากต้นโรสวู้ดในธรรมชาติ ยกเว้นต้นที่มาจากการเพาะปลูกเอง เพราะที่ผ่านมามีการตัดต้นไม้ส่งไปขายที่ฝรั่งเศส ประกอบกับในช่วงนั้นยังไม่มีกฏหมายคุ้มครองธรรมชาติในป่าแอมะซอน ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้สูญหายไปอย่างรวดเร็ว

น้ำหอม Chanel No.5

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ๆ และจะไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ การเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในป่า หากเดินทางไปโดยไม่มีไกด์ท้องถิ่นผู้มีความเชี่ยวชาญ หรือเป็นผู้ที่มีทักษะในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่อันตรายแบบนี้แล้ว การจะได้กลับออกมาจากป่าแอมะซอนอย่างปลอดภัยนั้น นับเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว เพราะในป่าแห่งนี้มีอันตรายรอบตัว แทบทุกสิ่งทุกอย่างในป่านี้สามารถฆ่าคุณได้ทุกเมื่อ ด้วยเพราะเหตุนี้เอง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชาวยุโรปที่เข้ามาในป่าแอมะซอนในช่วงแรก ๆ ถึงได้เรียกป่าแห่งนี้ว่า "นรกสีเขียว"

ในทุก ๆ การย่างก้าวของคุณ นอกจากจะต้องระวังภัยจากสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่เราอาจไม่ทันได้ระวังอย่างแมลงมีพิษแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องระวังพืชมีพิษต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ในป่าแอมะซอนมีต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายต้นหวาย มีหนามแหลมคม ชนพื้นเมืองนิยมหักเอาไปทำเป็นลูกดอก เพื่อใช้ในการเป่าล่าสัตว์โดยการใส่ท่อนไม้ไผ่แล้วเป่าเป็นกระสุนเหมือนที่เราเคยเห็นกันในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง หากโดนหนามชนิดนี้ตำเข้าไป จะทำให้เดินไม่ได้ไปหลายสัปดาห์ เพราะปลายหนามมีพิษที่ส่งผลให้ประสาทชา

ในเรื่องของปากท้องและอาหารการกินก็เป็นอีกสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในป่าแห่งนี้ แน่นอนว่าพืชมีพิษที่ไม่สามารถรับประทานได้ย่อมมีอยู่เต็มไปหมด แต่ก็มีพืชอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งหาพบได้ง่ายในป่าแอมะซอน โดยจะตกอยู่ทั่ว ๆ ไปตามพื้นดิน มีขนาดเล็กกว่าลูกมะพร้าว ก็คือผล "บราซิลนัท (Brazil Nut)" ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก คนที่หลงป่าควรมีความรู้เรื่องนี้ไว้ให้มาก เพราะเป็นอาหารที่สามารถประทังชีวิตได้ยาวนานมาก ๆ ภายในหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่ 12 - 14 เมล็ด หากหลงป่า การกินบราซิลนัททั้งลูกจะช่วยให้มีชีวิตไปได้อีก 5 วัน แต่ก็จำเป็นจะต้องใช้มีดพร้าในการตัด ถ้าไม่มีมีดก็จะไม่มีทางเปิดออกได้ สัตว์ที่สามารถเปิดเจ้าลูกนี้ได้คือตัวโรลเด้น หน้าตาคล้าย ๆ กระต่าย มันจะใช้ฟันแหลมคมแทะรอบ ๆ

ผลบราซิลนัทมีโปรตีนสูงมาก ทานสองเมล็ดจะให้คุณค่าเท่ากับถั่วหนึ่งจาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย

ผลบราซิลนัท

หากต้องการดื่มน้ำ ในป่าแอมะซอนก็มีเถาวัลย์บางชนิดที่ตัดออกมาแล้วกินน้ำได้ หรือจะอาศัยการสังเกตมอสจากต้นไม้บางต้น ต้นไม้บางต้นจะมีมอสขึ้นอยู่รอบด้านเพราะป่าแอมะซอนมีแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง ต่างกับป่าทั่ว ๆ ไปในยุโรปซึ่งเป็นป่าโปร่ง ในป่าโปร่ง มอสจะขึ้นแค่ด้านเดียว เพราะแสงแดดจะส่องทะลุมาเป็นด้าน ๆ ของต้นไม้ หากเจอต้นไม้ที่มีมอสขึ้นอยู่รอบด้าน จะเป็นจุดที่สามารถหาน้ำดื่มได้ โดยจะต้องบีบเอาน้ำที่อยู่ในมอสออกมา แต่จะได้น้ำที่ยังไม่สะอาดดีนัก ต้องรอให้ตกตะกอน หรือใช้เสื้อกรอง ก็จะเป็นน้ำที่สามารถดื่มได้

นักเดินทางใช้วิธีดื่มน้ำจากเถาวัลย์

และหากเวลาจำเป็นที่จะต้องพักค้างแรมหรือสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราวแบบง่าย ๆ ในป่าแอมะซอนนี้ก็มีต้นไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่าต้นอำเบ ซึ่งพบได้เยอะมากในป่าแอมะซอน ลักษณะคล้ายต้นตาล แต่ขึ้นเป็นพุ่มอยู่บนพื้น ใบเหมือนต้นปาล์มแต่มีขนาดใหญ่มาก คนในแถบนี้นิยมเอาใบอ่อน ๆ มาสร้างบ้านกัน โดยการนำก้านของมันมาเขย่า ใบไม้ที่อยู่ในก้านจะค่อย ๆ คลี่ออกมา สามารถนำมาสานคล้าย ๆ ใบจากได้ และยังสามารถนำมาสร้างเป็นเพิงสำหรับพักอาศัยชั่วคราวอย่างง่าย ๆ ได้อีกด้วย


และในขณะพักผ่อนหรือเดินป่า หากต้องการกันแมลงในป่า ให้นำมือไปแตะที่รังมดดำ เมื่อมดไต่ขึ้นมาบนมือก็ให้ขยี้และถูให้ทั่วมือ กลิ่นฟีโรโมนของมดที่ติดอยู่ที่มือจะสามารถช่วยป้องกันแมลงได้ แต่ก็ต้องดูให้แน่ใจว่านั่นไม่ใช่รังมดที่สามารถทำอันตรายแก่เราได้ด้วย

ใบโคโคโลบ้า (Coccoloba)
ต้นไม้แปลกแห่งแอมะซอนที่มีขนาดใบไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ป่าแอมะซอนอาจจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่หลาย ๆ คนจินตนาการ หรือเหมือนภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่มีออกมาให้รับชมกัน หากมองอีกนัยหนึ่ง การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตและเอาตัวรอดในป่าแอมะซอนก็เป็นการช่วยให้เรารู้จักที่จะระมัดระวังกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราในแอมะซอน ซึ่งบางอย่างก็สามารถทำอันตรายกับเราได้ตลอดเวลา หรือหากมองให้เกิดประโยชน์อีกทาง ความอุดมสมบูรณ์อย่างสูงสุดของระบบนิเวศน์ในป่าแอมะซอนนี้ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ในเรื่องของเครือข่ายธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตมากมาย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การศึกษาของคนรุ่นหลัง รวมทั้งช่วยให้มนุษย์และธรรมชาติรู้จักการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย แม้แอมะซอนจะไม่ได้เป็นพื้นที่ความเจริญ แต่มันก็เป็นป่าดิบชื้นอันยิ่งใหญ่ที่สมบูรณ์แบบอย่างที่มันควรจะเป็น

และหากจะกล่าวถึง "แอมะซอน" หรือ Danger Zone ในอีกโลกซึ่งเป็นโลกของฮันเตอร์ x ฮันเตอร์นั้น หากได้อ่านเรื่องป่าดิบชื้นแอมะซอนข้างต้นมาอย่างดีก็จะช่วยให้เข้าใจได้ไม่ยากว่า แอมะซอนในโลกของเรา ก็เปรียบคล้ายกับ "ทวีปมืด" ในโลกของฮันเตอร์ x ฮันเตอร์นั่นเอง


ทวีปมืดหรือ Dark Continent หรือเรียกได้อีกชื่อว่าเป็น "โลกใหม่" , "โลกภายนอก" เป็นทวีปใหญ่ที่ล้อมรอบโลกมนุษย์ มีมหาสมุทรมอเบียส (Mobius) เป็นมหาสมุทรใหญ่ที่กั้นเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และทวีปมืด และในทวีปมืดนั้นมีทรัพยากรล้ำค่าต่าง ๆ มากมาย รวมถึงสัตว์และพืชพรรณแปลก ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัวทั้งแบบสัมผัสได้ และทั้งแบบที่แอบแฝงอยู่นับไม่ถ้วน

การเดินทางไปยังทวีปมืดเมื่อ 300 ปีก่อน ได้มีการก่อตั้งกลุ่ม V5 เพื่อคอยเฝ้าดูการเดินทางในครั้งต่อ ๆ มา แต่ก่อนหน้าที่จะมีการตั้งกลุ่ม V5 นั้น ก็ได้มีนักเดินทางที่ได้เขียนบันทึกการเดินทางของเขาไปยังทวีปมืดครั้งแรก โดยนักเดินทางคนนั้นก็คือ ดอน ฟรีคส์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ จิน ฟรีคส์

ภายในเวลา 300 ปีที่กลุ่ม V5 ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา ปรากฏว่ามีการเดินทางไปยังทวีปมืดที่ถูกบันทึกโดย V5 ทั้งสิ้น 149 ครั้ง โดยอ้างอิงจากบันทึกของดอน ฟรีคส์ เพื่อหาแหล่งทรัพยากรณ์ตามที่่มีบันทึกไว้ และภายใน 149 ครั้ง มีเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่มีผู้รอดชีวิตกลับมา และมีเพียง 3 คนเท่านั้น ที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ คือ เนเทโล่ , บียอนด์ และอีกหนึ่งคนซึ่งไม่มีการเปิดเผย โดยการกลับมาของการเดินทางทั้ง 5 ครั้ง ก็ได้มีการนำหายนะทั้ง 5 กลับมายังโลกมนุษย์ด้วย

นอกเหนือจากการบันทึกของ V5 มีการเดินทางไปยังทวีปมืดอีกครั้งหนึ่งโดยกลุ่มของ ไอแซ็ค เนเทโล่ , ซีค โซลดิ๊ก และ ลินเน็ต ออโดเบิ้ล แต่ไม่มีการระบุว่าได้นำอะไรกลับมายังโลกมนุษย์

กลุ่มเดินทางของไอแซ็ค เนเทโล่ นอกเหนือจากการบันทึกของ V5

หายนะทั้ง 5 แห่งทวีปมืด

ในการเดินทางทั้ง 5 ครั้งที่มีผู้รอดชีวิตกลับมา โดยได้มีการนำหายนะทั้ง 5 มายังโลกมนุษย์ ซึ่งประกอบไปด้วย

1. ไอ



มีรูปร่างเหมือนแก๊ซ ไม่มีตัวตนที่แน่นอน เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้วยการพึ่งพาความปรารถนาคล้ายกับนานิกะ ที่ทำให้ความปรารถนาของคนเป็นจริง แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ร้ายแรงตามมา เหยื่อของไอจะมีลักษณะศพที่บิดเกลียวเหมือนเชือก

2. อาวุธบริออน



ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน แต่สภาพศพของคนที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของบริออนบางศพก็สยดสยองแทบไม่มีชิ้นดี

3. ปาปู



เป็นอีกหนึ่งภัยพิบัติที่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน แต่ดูจากคำอธิบายในภาพ (ตามมังงะเล่มที่ 33) อธิบายไว้เพียงว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงมนุษย์ อาจมีการล่อลวงมนุษย์ไปกินเป็นอาหารเพื่อเพิ่มพลังบางอย่างให้กับตัวเอง ศพของมนุษย์ที่ถูกปาปูเล่นงานอาจมีลักษณะตามภาพ

4. งูสองหางเฮลเบล



ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่ความอันตรายก็จัดอยู่ในแร็งค์ที่สูงกว่าคิเมร่าแอ๊นท์จนไม่สามารถรับมือได้

5. โรคอมตะโซบาเอ


กลุ่มของบิยอนด์เป็นกลุ่มที่นำโรคอมตะโซบาเอกลับมายังโลกมนุษย์ ยังไม่มีข้อมูลที่อธิบายชัดเจน มีเพียงในมังงะเล่มที่ 33 ที่เขียนบอกไว้ว่าเป็นการล่อลวงด้วยความหวังและความสิ้นหวังของมนุษย์ ยังไม่มีบอกว่าเป็นความอมตะในรูปแบบไหน ตอนนี้มีการกักกันไว้ได้ ปัจจุบันมีการพบเหยื่อของหายนะทั้ง 5 เพียงแค่ 2 ชนิด คือไอกับปาปู ตามคำบอกเล่าของจิน

ในการเดินทางทั้ง 5 ครั้ง นอกจากหายนะทั้ง 5 แล้ว ยังมีบันทึกการค้นพบแร่และพืชแปลกประหลาดต่าง ๆ ในทวีปมืดดังนี้


- หินแร่ที่เมื่ออยู่ใต้น้ำ จะสามารถผลิตกระแสไฟได้สูงถึง 20,000 กิกะวัตต์ต่อวัน แต่แหล่งของหินเป็นรังของปาปู จำนวนคน 1,000 คนที่เข้าไปมีรอดกลับมาเพียง 7 คน

- เมืองวงกตที่ในป่าโดยรอบมีสนุนไพรที่รักษาได้ทุกโรค แต่กองกำลังพิเศษที่ส่งเข้าไปเหลือรอดกลับมาแค่ 2 คน

- ข้าวไนโตรที่คนกินจะมีอายุยืน แต่คนที่เดินทางไปก็เป็นเหยื่อของงูสองหางเฮลเบล มีรอดกลับมาแค่ 11 คนเท่านั้น

- สาธารณรัฐมินโปว่าจ้างสมาคมฮันเตอร์ให้ไปหาแหล่งน้ำในทวีปมืด แต่บังเอิญไปเจอเข้ากับไอ ทำให้มีผู้รอดชีวิตกลับมาเพียง 3 คน และกลายเป็นคนเสียสติ

- อาณาจักรอาคันยุที่จ้างให้ฮันเตอร์ไปเอาพืชกลับมา แต่เดินทางออกนอกเส้นทางทำให้ติดโรคโซบาเอ มีผู้รอดชีวิตกลับมาเพียง 6 คนเท่านั้น


จะเห็นได้ว่าความอันตรายของทั้งสองสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นป่าแอมะซอนในโลกมนุษย์ หรือทวีปมืดในโลกฮันเตอร์ ต่างก็เป็นสถานที่ที่ลึกลับ อันตราย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทักษะในการเอาชีวิตรอด รวมถึงมีพืชพรรณและสัตว์แปลก ๆ อยู่มากมาย ในความเป็นจริงแล้ว หากจะเดินทางไปยังแอมะซอน ก็ยังสามารถติดต่อไกด์ท้องถิ่นเพื่อให้คำแนะนำ ช่วยระวังอันตรายขณะอยู่ในป่าได้ แต่ในทวีปมืดนั้น ไม่มีสิ่งใดมาการันตีว่าคุณจะมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น หากจะยกทั้งสองสถานที่นี้มาเปรียบเทียบกัน มันจึงมีความคล้ายคลึง และมีกลิ่นไอที่เหมือนกันอยู่พอสมควร เพราะทั้งสองที่ต่างก็เป็นที่สุดในเรื่องของพื้นที่อันตรายหรือ Danger Zone ที่มีการบันทึกไว้

และหากเรื่องราวของเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ มีการดำเนินไปจนถึงเรื่องราวในทวีปมืดอย่างเต็มตัว คิดว่าคงจะมีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจอีกหลาย ๆ อย่าง ทั้งที่ถูกพูดถึงแต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลมาก รวมทั้งสิ่งใหม่ ๆ อีกมากมายที่จะต้องพบเจอในทวีปมืดด้วย แม้ว่าข้อมูลเรื่องทวีปมืดในตอนนี้ยังจัดว่ามีอยู่น้อย จึงทำให้ข้อมูลของแอมะซอนเยอะกว่ามาก แต่หากถึงเวลาของตอนทวีปมืดเมื่อไหร่ ก็คงจะได้นำเรื่องราวของทวีปมืดมาเขียนเปรียบเทียบกับป่าแอมะซอนสุดโหดให้ได้อ่านกันแบบนี้อีกแน่นอนค่ะ



Special Thanks :
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ เรื่องป่าแอมะซอนจาก Life Explorer , เถื่อนเจ็ด และคุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
และขอบคุณข้อมูลทวีปมืด รวมทั้งการวิเคราะห์สนุก ๆ จากกระทู้ Pantip และคุณ Aya+EVE ค่ะ

อากิ