วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

[HxH] ทวีปมืด x แอมะซอน x Danger Zone แห่งโลกฮันเตอร์และโลกมนุษย์

ในโลกของเราและโลกในการ์ตูนเรื่อง ฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ เต็มไปด้วยสถานที่ที่มีความหลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใจกลางเมือง ย่านดาวทาวน์หรือแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี ชนบทห่างไกลความเจริญ หรือแม้กระทั่งดินแดนซึ่งมนุษย์ไม่ควรแก่การย่างกรายเข้าไปใกล้

ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงสถานที่ประเภทสุดท้ายที่ได้ยกตัวอย่างไป ดินแดนแห่งความอันตรายทั้งในโลกของฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ และในโลกแห่งความเป็นจริงของเรา พื้นที่ซึ่งเปรียบเสมือนนรกบนดิน ซึ่งไม่เหมาะหากจะเดินทางไปที่แห่งนั้นโดยไร้ซึ่งความรู้ในการเอาชีวิตรอด นั่นก็คือทวีปมืด และป่าแอมะซอน นั่นเองค่ะ

ความลี้ลับของป่าแอมะซอนและทวีปมืด

หากใครที่ได้ติดตามเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ในช่วง 2 - 3 ปีมานี้ ก็คงจะคุ้นเคยกับสถานที่ที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ในชื่อของ "ทวีปมืด" หรือ "Dark Continent" ซึ่งทวีปมืดเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของความที่เป็นทวีปขนาดใหญ่ มีทรัพยากรล้ำค่าต่าง ๆ มากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัวและภัยพิบัติอีกมากมาย ความอันตรายของทวีปมืดนั้นได้คร่าชีวิตผู้ที่เดินทางมาเยือนไปเป็นจำนวนมาก โดยตามบันทึกของกลุ่ม V5 ที่ถูกอ้างอิงตามบันทึกของดอน ฟรีคส์ ได้กล่าวไว้ว่าในช่วงเวลา 300 ปี มีการเดินทางไปยังทวีปมืดที่ถูกบันทึกได้ถึง 149 ครั้ง มีเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่มีผู้รอดชีวิตกลับมา และมีเพียง 3 คน ที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ 

ด้วยกิตติศัพท์แห่งความโหดร้ายและอันตรายของทวีปมืด ทำให้ชวนนึกถึงป่าดิบชื้นแห่งหนึ่งบนโลกของเราที่มีความกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยสิ่งซ่อนเร้นและอันตรายมากมายจนได้รับฉายาว่า "นรกสีเขียว" หรือที่รู้จักกันในนาม "ป่าแอมะซอน" ซึ่งถ้าพูดถึงความอันตรายของมันแล้ว สามารถเทียบเท่าระดับน้อง ๆ ทวีปมืดได้เลยทีเดียว และมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าสนใจ ดังนั้นอย่ารอช้าอยู่เลยค่ะ เราไปทำความรู้จักกับป่าแอมะซอนแห่งนี้กันเถอะ!

ป่าดิบชื้นและแม่น้ำแอมะซอน

ป่าแอมะซอนเป็นป่าดิบชื้นที่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีพื้นที่มากถึง 7 ล้านตารางกิโลเมตร โดยที่พื้นที่ของป่าดิบชื้นอยู่ที่ 5.5 ล้านตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ของประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ถึง 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล เปรู โคลอมเบีย เวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา พื้นที่กว่า 60% อยู่ในประเทศบราซิล และบราซิลก็เป็นประเทศที่เคยตกเป็นประเทศอาณานิคมของประเทศโปรตุเกส ดังนั้นภาษากลางของที่นี่จึงเป็นภาษาโปรตุเกส

ป่าแอมะซอนเป็นป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในโลก และมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก ปัจจุบันมีจำนวนสปีชี่ส์ของพืชที่รู้จักกันในแถบนี้ 40,000 สปีชีส์ ปลา 2,200 ชนิด ซึ่งถือเป็นอาหารหลักของผู้คนที่นี่ นก 1,200 กว่าชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 400 กว่าชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 300 กว่าชนิด สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอีก 400 กว่าชนิด ว่ากันว่าจำนวนสปีชี่ส์ทั้งหมดบนโลกนี้ 1 ใน 3 สามารถพบได้ที่แอมะซอน

ความกว้างใหญ่ของป่าแอมะซอนเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกผลิตขึ้น จะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซออกซิเจนมากกว่า 30% ของโลก ทำให้ที่แอมะซอนแห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าเป็น "ปอดของโลก" และเป็นป่าที่มีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลย์ของสภาพภูมิอากาศของโลก ป่าแอมะซอนยังเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ไม่ว่าจะเป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี พืชสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรค แร่ธาตุต่าง ๆ ไปจนถึงสัตว์นานาชนิด

แม้ว่าแอมะซอนจะเป็นแม่น้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลกคือแม่น้ำไนล์ แต่แม่น้ำแอมะซอนเป็นที่หนึ่งในเรื่องของจำนวนน้ำที่ไหลผ่านมายังแม่น้ำแห่งนี้ น้ำจืดทั้งหมดที่พบในแม่น้ำแอมะซอนรวมแล้วเป็นประมาณ 20% ของน้ำจืดในแม่น้ำทั้งโลก ความกว้างของแม่น้ำในฤดูแล้งอยู่ที่ประมาณ 1.6 - 10 กิโลเมตร และสามารถขยายได้ถึง 48 กิโลเมตรในช่วงฤดูฝน 

ที่ตั้งและพื้นที่ของป่าแอมะซอน

วิถีชีวิตแต่เดิมของชนพื้นเมืองในแอมะซอนนัั้นใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ จับปลา ปลูกพืช มีภาษาเป็นของตนเอง และในทุกวันนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนบรรพบุรุษโดยไม่เปลี่ยนแปลง แอมะซอนจัดเป็นโซนหนึ่งในโลกซึ่งมีคนอาศัยอยู่หลายเผ่า หลายภาษา หลายชาติพันธุ์ 

ในยุคแห่งการล่าอาณานิคม ป่าแอมะซอนไม่ได้มีการถูกค้นพบ แต่ถูกรุกรานโดยชาวโปรตุเกสและสเปนที่เข้ามา ในช่วงนั้นคาดกันว่ามีชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแอมะซอนมากกว่าสามล้านคน ชนพื้นเมืองบางส่วนถูกชาวยุโรปฆ่าเพื่อแย่งชิงพื้นที่ บางส่วนก็ถูกบังคับให้เป็นแรงงานในเหมืองหรือในไร่อ้อย นอกจากนั้น คนยุโรปในสมัยนั้นยังได้เอาเชื้อโรคบางชนิดมาด้วย ทำให้ชนพื้นเมืองที่ในสมัยนั้นไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อโรคต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวแอมะซอนไม่ใช่เพียงแค่การรุกรานของชาวโปรตุเกสและชาวยุโรป ยังมีปัญหาเกิดขึ้นอีกเมื่อมีการค้นพบยางพารา การค้นพบยางพาราทำให้เมืองมาเนาส์ (Manaus) ในประเทศบราซิล ซึ่งเป็นเมืองที่มีพรมแดนติดกับแอมะซอนเติบโตขึ้นมาเป็นเมืองจากการทำยางพารา ในเวลาต่อมา รัฐบาลของรัฐอนาซอนัสได้มีการออกสำรวจสิ่งที่จะทำให้ตัวเองมั่งคั่งได้อีกนอกจากยางพารา ก็ได้เดินทางเข้ามายังแอมะซอนเพื่อค้นหาสิ่งที่จะสามารถทำให้ร่ำรวยขึ้นมาอีกได้ กลุ่มคนที่เข้ามาแอมะซอนในช่วงแรกเข้ามาหาทองคำ แต่ไม่พบอะไรเลย สิ่งที่พบมีแต่ชนพื้นเมือง ไข้ป่า ไข้มาลาเรีย ปลาปิรันย่า งูอนาคอนด้า และอากาศก็ร้อนมาก ป่าแอมะซอนจึงถูกเรียกว่า "นรกสีเขียว" หรือ "The Green Hell" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทุกวันนี้ป่าแอมะซอนหลงเหลือชนพื้นเมืองอยู่ประมาณ 300 เผ่า มีภาษากว่า 200 ภาษา และยังมีอีกหลายเผ่าที่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีการติดต่อใด ๆ กับโลกภายนอกเลย

ชนเผ่าพื้นเมืองในแอมะซอนซึ่งถูกนักสำรวจค้นพบอย่างบังเอิญ

นอกจากเรื่องภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว ยังมีเรื่องราวของระบบนิเวศน์ สภาพภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิต และพืชพรรณต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และโด่งดังมาก ๆ ในแอมะซอน 

อย่างที่หลาย ๆ คนอาจจะทราบว่าป่าแอมะซอนมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นเหมือนกับป่าร้อนชื้นทั่ว ๆ ไป แต่ในแอมะซอนนั้น เราไม่สามารถถามหาความแน่นอนของสภาพอากาศได้เลย ที่แอมะซอนมีฝนตกทุกวัน บางทีอาจจะแดดออกอยู่ แต่อีกสักพักฝนก็อาจจะตกลงมาอีกก็ได้ ดังนั้น ในแถบลุ่มน้ำแอมะซอนนี้ จึงมีบางพื้นที่ที่เกิดป่าน้ำท่วม หรือ Rainforest Flood เป็นป่าที่มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ใต้น้ำครึ่งหนึ่ง ในเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนจะมีฝนตกทุกวัน ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะขึ้นสูงสุดในเดือนมิถุนายน ในช่วงนี้ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติถึง 8 เมตร แต่พืชที่อยู่ใต้น้ำจะไม่ตาย เพราะพืชบนดินจะสร้างวิธีหายใจที่ช่วยในการสังเคราะห์แสงของตัวเองโดยการสร้างฟองอากาศ ส่วนในบริเวณพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกน้ำท่วมนั้น ต้นไม้ต่าง ๆ ในป่าแอมะซอนจะสูงมากกว่าต้นไม้ในป่าทั่ว ๆ ไปเพราะเป็นป่ารกทึบ แสงแดดไม่สามารถส่องลงมาถึงพื้นได้ แต่อากาศกลับร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก ต้นไม้ในป่าแอมะซอนจึงจะต้องแข่งกันขึ้นให้สูง เพราะยิ่งขึ้นสูง ก็จะยิ่งได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้น หรือถ้าหากว่าเป็นต้นไม้ที่มีขนาดเตี้ย มีความสูงที่ต่ำลงไปก็ต้องมีขนาดใบที่ใหญ่มากขึ้น เพื่อให้ได้รับแสงแดดได้

ป่าน้ำท่วม (Rainforest Flood)

และเนื่องจากขนาดพื้นที่ของป่าที่มีความกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก รวมทั้งมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติที่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ป่าแอมะซอนนี้จึงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งสัตว์แปลกหายาก รวมถึงสัตว์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

ถ้าหากจินตนาการถึงสัตว์ในป่าแอมะซอนแล้ว คนส่วนมากมักจะนึกถึงสัตว์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์ต่าง ๆ เช่น งูอนาคอนด้า หรือปลาปิรันย่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว สัตว์ที่ได้รับการขนานนามว่าน่ากลัวที่สุดในป่าแอมะซอนคือเสือจากัวร์ เพราะเป็นสัตว์ที่มีแรงกัดรุนแรงที่สุด และยังชอบจู่โจมเหยื่อจากด้านหลังโดยที่เหยื่อไม่ทันได้รู้ตัวอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีสัตว์อีกประเภทที่ไม่ได้น่ากลัวเท่างูอนาคอนด้า แต่ก็สำคัญมากถึงขนาดที่เราจำเป็นจะต้องรู้จัก สัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่พบได้แทบจะมากที่สุดในแถบแอมะซอน นั่นก็คือเคแมน อัลลิเกเตอร์ หรือ ตะโขงเคแมน (Caiman Alligator) ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนในแถบนี้ ถ้าไม่ใช่ด้วยสัตว์ที่มองไม่เห็นอย่างแมลงมีพิษหรืองูมีพิษ สัตว์ที่โจมตีคนมากที่สุดก็คือตะโขงเคแมนที่คร่าชีวิตผู้คนสูงเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว

เสือจากัวร์และตะโขงเคแมน นักล่าที่น่ากลัวแห่งแอมะซอน

และหลังจากนี้ เราจะไปทำความรู้จักกับสัตว์อันตรายแห่งลุ่มน้ำแอมะซอนกันค่ะ เนื่องจากมีจำนวนสัตว์แปลก ๆ มากมายที่สามารถหาอ่านได้ตามเว็บไซต์ทั่วไป ดังนั้นในบทความของเรา จึงอยากจะยกตัวอย่างมาเพียงบางชนิด และมีการเสริมข้อมูลที่อาจจะไม่สามารถหาได้ทั่วไปมาให้รู้จักกันค่ะ

สัตว์ชนิดต่อมานั่นก็คือปลาปิรันย่า ในความเป็นจริงแล้วปลาปิรันย่าไม่ได้น่ากลัวมากมายแบบที่เราเคยเห็นกันตามภาพยนตร์ และภาพยนตร์ต่าง ๆ ก็มีการสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปลาปิรันย่าให้คนดูเยอะพอสมควร


ปลาปิรันย่าจัดเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่คนแถวนี้มักจับกินกันเป็นปกติ ความน่ากลัวของปลาปิรันย่าอยู่ที่ฟันซี่เล็ก ๆ ที่แหลมคมราวกันเหล็ก ปลาปิรันย่าจะรอให้เหยื่อตกน้ำแล้วมารุมกินกันเป็นฝูง ซึ่งปลาปิรันย่าทั้งฝูงสามารถกินลูกวัวตัวเดียวให้หมดเหลือแต่กระดูกได้ภายในเวลาเพียง 12 นาที อาหารปกติของปลาปิรันย่าคือลูกวัวของชาวบ้านแถวนั้น ถ้าเป็นอาหารตามธรรมชาติก็คือตะโขง และสัตว์ใด ๆ ก็ตามที่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่า และดูดุร้ายกว่ามัน สัตว์แทบทุกชนิดจะแพ้ปิรันย่าหมดเพราะมากันเป็นฝูงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถหลบได้ ชาวบ้านแถวนี้จะไม่ลงน้ำกันเพราะอาจจะโดนกัดได้ทุกเมื่อ ปลาปิรันย่าหนึ่งตัวสามารถงับนิ้วคนขาดได้ แต่ถ้ามาเป็นฝูง ก็สามารถงับจนไม่เหลือซากได้ ถ้าเลือดออกหรือมีแผลใด ๆ ก็ตามห้ามลงน้ำเด็ดขาด เพราะกลิ่นเลือดจะทำให้ปลาชนิดนี้คลั่งเป็นอย่างมาก

มดกระสุน (Bullet Ant)



มดกระสุน บางคนเรียกว่า "มดทหาร" หรือ "มดยาม" เป็นมดตัวใหญ่ขนาดข้อนิ้ว อาศัยอยู่บริเวณรากไม้ มีหน้าที่คอยเฝ้ารังขนาดใหญ่ของมดชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ลงไป เป็นมดที่ดังมากในป่าแอมะซอน เพราะมันเป็นมดที่กัดแล้วอาจจะถึงตายได้ พิษของมันส่งผลต่อระบบประสาท อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคนเดินป่าที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ มักจะเกิดจากการโดนแมลงเล็ก ๆ กัด เช่น แมงป่อง แมงมุม ไม่ใช่เพราะเสือจากัวร์ เพราะงูอนาคอนด้า หรือเพราะสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่คนชอบจินตนาการกัน

สาเหตุที่มดชนิดนี้ถูกเรียกว่ามดกระสุน เพราะกัดแล้วเจ็บเหมือนถูกยิงด้วยกระสุน บางทีเรียกว่ามด 24 ชั่วโมง เพราะถ้าถูกกัดจะเจ็บนานถึง 24 ชั่วโมง แต่ก็มีชนเผ่าพื้นเมืองบางเผ่าที่อยู่ลึกเข้าไป จะมีพิธีกรรมเต้นรำโดยที่มีมดนี้อยู่ในมือ ในบางภาพถ่ายจะเห็นคนถือตะกร้าที่มีมดนี้อยู่ข้างใน และเต้นรำให้ครบ 24 ชั่วโมง โดยมีความเชื่อว่าหากเต้นรำไปด้วยจะทำให้ความเจ็บบรรเทาลง และยังเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว สามารถแต่งงานหรือเป็นผู้นำนักรบในเผ่าได้

แต่ในทางกลับกัน ประโยชน์ของมดและแมลงในป่าแอมะซอนนี้ นอกจากจะช่วยแพร่พันธุ์ไม้ดอกแล้ว ยังช่วยย่อยสลายซากสัตว์ต่าง ๆ อย่างมดที่เห็นว่ามีพิษ อีกมุมหนึ่ง มูลของมดก็มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ และตัวมดเองก็ยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนต้นไม้ และบนตัวสัตว์อีกด้วย

งูอนาคอนด้า




สัตว์ชื่อดังอย่างงูอนาคอนด้าถูกจัดเป็นงูที่มีความใหญ่มากที่สุดในโลก บางตัวอาจยาวถึง 8 เมตร และหนักมากถึง 200 กิโลกรัม สามารถพบได้ทั่วไปในผืนป่า รวมทั้งบริเวณแม่น้ำ ถ้ามันได้กินสัตว์ที่มีขนาดเท่าคนเข้าไป จะทำให้อิ่มนานไปถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

ยังมีงูอีกชนิดหนึ่งที่แม้จะมีขนาดตัวเทียบเท่ากับงูทั่ว ๆ ไป แต่ความร้ายกาจของมันจัดว่าอยู่ในระดับรุนแรงมาก นั่นก็คือ "งูแม่ยาย" หรือ Mother - in - low Snake หากโดนมันกัด เนื้อจะเปื่อยและหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ คนท้องถิ่นเรียกว่างูแม่ยายเพราะมันชอบลอบกัดจากด้านหลัง

และนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีงูอีกหลากหลายสายพันธุ์ เช่น งูเหลือมต้นไม้ ที่มีพลังในการกัดที่รุนแรง และสามารถรัดเหยื่อที่มีขนาดใหญ่จนกระดูกแตกได้ภายในเวลาไม่กี่นาที รวมทั้งอสรพิษอีกมากมายที่พร้อมจะโจมตีเราทุกเมื่อ หากเข้าไปใกล้รัศมีของมัน ซึ่งสามารถพบได้ทั่วทุกแห่งในแอมะซอน

และเนื่องจากการที่ป่าแอมะซอนมีสายพันธุ์งูอยู่เยอะแยะมากมาย จึงทำให้เมืองมาเนาส์ที่อยู่ติดกับป่าแอมะซอนแห่งนี้ มีแหล่งวิจัยพิษงูที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ด้วย

ความเลื่องลือในความลึกลับและอันตรายของป่าแอมะซอน รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ที่นี่ จึงทำให้มีนักผจญภัยจากทั่วโลกเดินทางมาสัมผัสผืนป่าแอมะซอนแห่งนี้กันอย่างมากมายโดยต้องมีการจ้างไกด์ท้องถิ่นนำทางไปด้วยเพื่อความปลอดภัย นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยมากมายที่เดินทางมาศึกษาเรื่องของระบบนิเวศน์ที่นี่ ทั้งในเรื่องยา พืช การถ่ายทำสารคดี รวมถึงรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติในป่าแอมะซอน


นักวิทยาศาสตร์จะค้นหาแมลงที่สามารถทำให้ป่วย พืชที่ทำให้เกิดอากาแพ้ ฟืนที่ใช้ทำเป็นยา รวมถึงพืชที่ใช้ในการทำเครื่องสำอาง มีบริษัททำเครื่องสำอางหลายแห่งจากฝรั่งเศสมาหาน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ทำน้ำหอม ทำโคโลญ รวมทั้งค้นหาพืชที่ใช้ทำตัวยา พืชที่ใช้รักษามะเร็งหรือเนื้องอก ดังนั้น งานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์หรือทางด้านชีววิทยาในป่าแอมะซอนจึงเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ พืชบางชนิดก็ใช้ทำน้ำหอมที่มีราคาสูง เช่นน้ำหอมยี่ห้อชาแนล นัมเบอร์ไฟว์ ก็เป็นน้ำหอมที่มาจากต้นโรสวู้ดซึ่งเติบโตในป่าตามธรรมชาติในแอมะซอน แต่ไม่สามารถตัดต้นไม้ไปได้ เพราะมีกฏห้ามผลิตน้ำมันหอมจากต้นโรสวู้ดในธรรมชาติ ยกเว้นต้นที่มาจากการเพาะปลูกเอง เพราะที่ผ่านมามีการตัดต้นไม้ส่งไปขายที่ฝรั่งเศส ประกอบกับในช่วงนั้นยังไม่มีกฏหมายคุ้มครองธรรมชาติในป่าแอมะซอน ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้สูญหายไปอย่างรวดเร็ว

น้ำหอม Chanel No.5

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ๆ และจะไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ การเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในป่า หากเดินทางไปโดยไม่มีไกด์ท้องถิ่นผู้มีความเชี่ยวชาญ หรือเป็นผู้ที่มีทักษะในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่อันตรายแบบนี้แล้ว การจะได้กลับออกมาจากป่าแอมะซอนอย่างปลอดภัยนั้น นับเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว เพราะในป่าแห่งนี้มีอันตรายรอบตัว แทบทุกสิ่งทุกอย่างในป่านี้สามารถฆ่าคุณได้ทุกเมื่อ ด้วยเพราะเหตุนี้เอง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชาวยุโรปที่เข้ามาในป่าแอมะซอนในช่วงแรก ๆ ถึงได้เรียกป่าแห่งนี้ว่า "นรกสีเขียว"

ในทุก ๆ การย่างก้าวของคุณ นอกจากจะต้องระวังภัยจากสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่เราอาจไม่ทันได้ระวังอย่างแมลงมีพิษแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องระวังพืชมีพิษต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ในป่าแอมะซอนมีต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายต้นหวาย มีหนามแหลมคม ชนพื้นเมืองนิยมหักเอาไปทำเป็นลูกดอก เพื่อใช้ในการเป่าล่าสัตว์โดยการใส่ท่อนไม้ไผ่แล้วเป่าเป็นกระสุนเหมือนที่เราเคยเห็นกันในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง หากโดนหนามชนิดนี้ตำเข้าไป จะทำให้เดินไม่ได้ไปหลายสัปดาห์ เพราะปลายหนามมีพิษที่ส่งผลให้ประสาทชา

ในเรื่องของปากท้องและอาหารการกินก็เป็นอีกสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในป่าแห่งนี้ แน่นอนว่าพืชมีพิษที่ไม่สามารถรับประทานได้ย่อมมีอยู่เต็มไปหมด แต่ก็มีพืชอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งหาพบได้ง่ายในป่าแอมะซอน โดยจะตกอยู่ทั่ว ๆ ไปตามพื้นดิน มีขนาดเล็กกว่าลูกมะพร้าว ก็คือผล "บราซิลนัท (Brazil Nut)" ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก คนที่หลงป่าควรมีความรู้เรื่องนี้ไว้ให้มาก เพราะเป็นอาหารที่สามารถประทังชีวิตได้ยาวนานมาก ๆ ภายในหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่ 12 - 14 เมล็ด หากหลงป่า การกินบราซิลนัททั้งลูกจะช่วยให้มีชีวิตไปได้อีก 5 วัน แต่ก็จำเป็นจะต้องใช้มีดพร้าในการตัด ถ้าไม่มีมีดก็จะไม่มีทางเปิดออกได้ สัตว์ที่สามารถเปิดเจ้าลูกนี้ได้คือตัวโรลเด้น หน้าตาคล้าย ๆ กระต่าย มันจะใช้ฟันแหลมคมแทะรอบ ๆ

ผลบราซิลนัทมีโปรตีนสูงมาก ทานสองเมล็ดจะให้คุณค่าเท่ากับถั่วหนึ่งจาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย

ผลบราซิลนัท

หากต้องการดื่มน้ำ ในป่าแอมะซอนก็มีเถาวัลย์บางชนิดที่ตัดออกมาแล้วกินน้ำได้ หรือจะอาศัยการสังเกตมอสจากต้นไม้บางต้น ต้นไม้บางต้นจะมีมอสขึ้นอยู่รอบด้านเพราะป่าแอมะซอนมีแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง ต่างกับป่าทั่ว ๆ ไปในยุโรปซึ่งเป็นป่าโปร่ง ในป่าโปร่ง มอสจะขึ้นแค่ด้านเดียว เพราะแสงแดดจะส่องทะลุมาเป็นด้าน ๆ ของต้นไม้ หากเจอต้นไม้ที่มีมอสขึ้นอยู่รอบด้าน จะเป็นจุดที่สามารถหาน้ำดื่มได้ โดยจะต้องบีบเอาน้ำที่อยู่ในมอสออกมา แต่จะได้น้ำที่ยังไม่สะอาดดีนัก ต้องรอให้ตกตะกอน หรือใช้เสื้อกรอง ก็จะเป็นน้ำที่สามารถดื่มได้

นักเดินทางใช้วิธีดื่มน้ำจากเถาวัลย์

และหากเวลาจำเป็นที่จะต้องพักค้างแรมหรือสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราวแบบง่าย ๆ ในป่าแอมะซอนนี้ก็มีต้นไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่าต้นอำเบ ซึ่งพบได้เยอะมากในป่าแอมะซอน ลักษณะคล้ายต้นตาล แต่ขึ้นเป็นพุ่มอยู่บนพื้น ใบเหมือนต้นปาล์มแต่มีขนาดใหญ่มาก คนในแถบนี้นิยมเอาใบอ่อน ๆ มาสร้างบ้านกัน โดยการนำก้านของมันมาเขย่า ใบไม้ที่อยู่ในก้านจะค่อย ๆ คลี่ออกมา สามารถนำมาสานคล้าย ๆ ใบจากได้ และยังสามารถนำมาสร้างเป็นเพิงสำหรับพักอาศัยชั่วคราวอย่างง่าย ๆ ได้อีกด้วย


และในขณะพักผ่อนหรือเดินป่า หากต้องการกันแมลงในป่า ให้นำมือไปแตะที่รังมดดำ เมื่อมดไต่ขึ้นมาบนมือก็ให้ขยี้และถูให้ทั่วมือ กลิ่นฟีโรโมนของมดที่ติดอยู่ที่มือจะสามารถช่วยป้องกันแมลงได้ แต่ก็ต้องดูให้แน่ใจว่านั่นไม่ใช่รังมดที่สามารถทำอันตรายแก่เราได้ด้วย

ใบโคโคโลบ้า (Coccoloba)
ต้นไม้แปลกแห่งแอมะซอนที่มีขนาดใบไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ป่าแอมะซอนอาจจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่หลาย ๆ คนจินตนาการ หรือเหมือนภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่มีออกมาให้รับชมกัน หากมองอีกนัยหนึ่ง การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตและเอาตัวรอดในป่าแอมะซอนก็เป็นการช่วยให้เรารู้จักที่จะระมัดระวังกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราในแอมะซอน ซึ่งบางอย่างก็สามารถทำอันตรายกับเราได้ตลอดเวลา หรือหากมองให้เกิดประโยชน์อีกทาง ความอุดมสมบูรณ์อย่างสูงสุดของระบบนิเวศน์ในป่าแอมะซอนนี้ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ในเรื่องของเครือข่ายธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตมากมาย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การศึกษาของคนรุ่นหลัง รวมทั้งช่วยให้มนุษย์และธรรมชาติรู้จักการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย แม้แอมะซอนจะไม่ได้เป็นพื้นที่ความเจริญ แต่มันก็เป็นป่าดิบชื้นอันยิ่งใหญ่ที่สมบูรณ์แบบอย่างที่มันควรจะเป็น

และหากจะกล่าวถึง "แอมะซอน" หรือ Danger Zone ในอีกโลกซึ่งเป็นโลกของฮันเตอร์ x ฮันเตอร์นั้น หากได้อ่านเรื่องป่าดิบชื้นแอมะซอนข้างต้นมาอย่างดีก็จะช่วยให้เข้าใจได้ไม่ยากว่า แอมะซอนในโลกของเรา ก็เปรียบคล้ายกับ "ทวีปมืด" ในโลกของฮันเตอร์ x ฮันเตอร์นั่นเอง


ทวีปมืดหรือ Dark Continent หรือเรียกได้อีกชื่อว่าเป็น "โลกใหม่" , "โลกภายนอก" เป็นทวีปใหญ่ที่ล้อมรอบโลกมนุษย์ มีมหาสมุทรมอเบียส (Mobius) เป็นมหาสมุทรใหญ่ที่กั้นเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และทวีปมืด และในทวีปมืดนั้นมีทรัพยากรล้ำค่าต่าง ๆ มากมาย รวมถึงสัตว์และพืชพรรณแปลก ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัวทั้งแบบสัมผัสได้ และทั้งแบบที่แอบแฝงอยู่นับไม่ถ้วน

การเดินทางไปยังทวีปมืดเมื่อ 300 ปีก่อน ได้มีการก่อตั้งกลุ่ม V5 เพื่อคอยเฝ้าดูการเดินทางในครั้งต่อ ๆ มา แต่ก่อนหน้าที่จะมีการตั้งกลุ่ม V5 นั้น ก็ได้มีนักเดินทางที่ได้เขียนบันทึกการเดินทางของเขาไปยังทวีปมืดครั้งแรก โดยนักเดินทางคนนั้นก็คือ ดอน ฟรีคส์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ จิน ฟรีคส์

ภายในเวลา 300 ปีที่กลุ่ม V5 ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา ปรากฏว่ามีการเดินทางไปยังทวีปมืดที่ถูกบันทึกโดย V5 ทั้งสิ้น 149 ครั้ง โดยอ้างอิงจากบันทึกของดอน ฟรีคส์ เพื่อหาแหล่งทรัพยากรณ์ตามที่่มีบันทึกไว้ และภายใน 149 ครั้ง มีเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่มีผู้รอดชีวิตกลับมา และมีเพียง 3 คนเท่านั้น ที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ คือ เนเทโล่ , บียอนด์ และอีกหนึ่งคนซึ่งไม่มีการเปิดเผย โดยการกลับมาของการเดินทางทั้ง 5 ครั้ง ก็ได้มีการนำหายนะทั้ง 5 กลับมายังโลกมนุษย์ด้วย

นอกเหนือจากการบันทึกของ V5 มีการเดินทางไปยังทวีปมืดอีกครั้งหนึ่งโดยกลุ่มของ ไอแซ็ค เนเทโล่ , ซีค โซลดิ๊ก และ ลินเน็ต ออโดเบิ้ล แต่ไม่มีการระบุว่าได้นำอะไรกลับมายังโลกมนุษย์

กลุ่มเดินทางของไอแซ็ค เนเทโล่ นอกเหนือจากการบันทึกของ V5

หายนะทั้ง 5 แห่งทวีปมืด

ในการเดินทางทั้ง 5 ครั้งที่มีผู้รอดชีวิตกลับมา โดยได้มีการนำหายนะทั้ง 5 มายังโลกมนุษย์ ซึ่งประกอบไปด้วย

1. ไอ



มีรูปร่างเหมือนแก๊ซ ไม่มีตัวตนที่แน่นอน เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้วยการพึ่งพาความปรารถนาคล้ายกับนานิกะ ที่ทำให้ความปรารถนาของคนเป็นจริง แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ร้ายแรงตามมา เหยื่อของไอจะมีลักษณะศพที่บิดเกลียวเหมือนเชือก

2. อาวุธบริออน



ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน แต่สภาพศพของคนที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของบริออนบางศพก็สยดสยองแทบไม่มีชิ้นดี

3. ปาปู



เป็นอีกหนึ่งภัยพิบัติที่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน แต่ดูจากคำอธิบายในภาพ (ตามมังงะเล่มที่ 33) อธิบายไว้เพียงว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงมนุษย์ อาจมีการล่อลวงมนุษย์ไปกินเป็นอาหารเพื่อเพิ่มพลังบางอย่างให้กับตัวเอง ศพของมนุษย์ที่ถูกปาปูเล่นงานอาจมีลักษณะตามภาพ

4. งูสองหางเฮลเบล



ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่ความอันตรายก็จัดอยู่ในแร็งค์ที่สูงกว่าคิเมร่าแอ๊นท์จนไม่สามารถรับมือได้

5. โรคอมตะโซบาเอ


กลุ่มของบิยอนด์เป็นกลุ่มที่นำโรคอมตะโซบาเอกลับมายังโลกมนุษย์ ยังไม่มีข้อมูลที่อธิบายชัดเจน มีเพียงในมังงะเล่มที่ 33 ที่เขียนบอกไว้ว่าเป็นการล่อลวงด้วยความหวังและความสิ้นหวังของมนุษย์ ยังไม่มีบอกว่าเป็นความอมตะในรูปแบบไหน ตอนนี้มีการกักกันไว้ได้ ปัจจุบันมีการพบเหยื่อของหายนะทั้ง 5 เพียงแค่ 2 ชนิด คือไอกับปาปู ตามคำบอกเล่าของจิน

ในการเดินทางทั้ง 5 ครั้ง นอกจากหายนะทั้ง 5 แล้ว ยังมีบันทึกการค้นพบแร่และพืชแปลกประหลาดต่าง ๆ ในทวีปมืดดังนี้


- หินแร่ที่เมื่ออยู่ใต้น้ำ จะสามารถผลิตกระแสไฟได้สูงถึง 20,000 กิกะวัตต์ต่อวัน แต่แหล่งของหินเป็นรังของปาปู จำนวนคน 1,000 คนที่เข้าไปมีรอดกลับมาเพียง 7 คน

- เมืองวงกตที่ในป่าโดยรอบมีสนุนไพรที่รักษาได้ทุกโรค แต่กองกำลังพิเศษที่ส่งเข้าไปเหลือรอดกลับมาแค่ 2 คน

- ข้าวไนโตรที่คนกินจะมีอายุยืน แต่คนที่เดินทางไปก็เป็นเหยื่อของงูสองหางเฮลเบล มีรอดกลับมาแค่ 11 คนเท่านั้น

- สาธารณรัฐมินโปว่าจ้างสมาคมฮันเตอร์ให้ไปหาแหล่งน้ำในทวีปมืด แต่บังเอิญไปเจอเข้ากับไอ ทำให้มีผู้รอดชีวิตกลับมาเพียง 3 คน และกลายเป็นคนเสียสติ

- อาณาจักรอาคันยุที่จ้างให้ฮันเตอร์ไปเอาพืชกลับมา แต่เดินทางออกนอกเส้นทางทำให้ติดโรคโซบาเอ มีผู้รอดชีวิตกลับมาเพียง 6 คนเท่านั้น


จะเห็นได้ว่าความอันตรายของทั้งสองสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นป่าแอมะซอนในโลกมนุษย์ หรือทวีปมืดในโลกฮันเตอร์ ต่างก็เป็นสถานที่ที่ลึกลับ อันตราย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทักษะในการเอาชีวิตรอด รวมถึงมีพืชพรรณและสัตว์แปลก ๆ อยู่มากมาย ในความเป็นจริงแล้ว หากจะเดินทางไปยังแอมะซอน ก็ยังสามารถติดต่อไกด์ท้องถิ่นเพื่อให้คำแนะนำ ช่วยระวังอันตรายขณะอยู่ในป่าได้ แต่ในทวีปมืดนั้น ไม่มีสิ่งใดมาการันตีว่าคุณจะมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น หากจะยกทั้งสองสถานที่นี้มาเปรียบเทียบกัน มันจึงมีความคล้ายคลึง และมีกลิ่นไอที่เหมือนกันอยู่พอสมควร เพราะทั้งสองที่ต่างก็เป็นที่สุดในเรื่องของพื้นที่อันตรายหรือ Danger Zone ที่มีการบันทึกไว้

และหากเรื่องราวของเรื่องฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ มีการดำเนินไปจนถึงเรื่องราวในทวีปมืดอย่างเต็มตัว คิดว่าคงจะมีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจอีกหลาย ๆ อย่าง ทั้งที่ถูกพูดถึงแต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลมาก รวมทั้งสิ่งใหม่ ๆ อีกมากมายที่จะต้องพบเจอในทวีปมืดด้วย แม้ว่าข้อมูลเรื่องทวีปมืดในตอนนี้ยังจัดว่ามีอยู่น้อย จึงทำให้ข้อมูลของแอมะซอนเยอะกว่ามาก แต่หากถึงเวลาของตอนทวีปมืดเมื่อไหร่ ก็คงจะได้นำเรื่องราวของทวีปมืดมาเขียนเปรียบเทียบกับป่าแอมะซอนสุดโหดให้ได้อ่านกันแบบนี้อีกแน่นอนค่ะ



Special Thanks :
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ เรื่องป่าแอมะซอนจาก Life Explorer , เถื่อนเจ็ด และคุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
และขอบคุณข้อมูลทวีปมืด รวมทั้งการวิเคราะห์สนุก ๆ จากกระทู้ Pantip และคุณ Aya+EVE ค่ะ

อากิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น