Blood Moon หรือปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดที่ปรากฏอยู่ในตอนแห่งค่ำคืนการล้างแค้นของคุราปิก้าและอุโบกิ้น ซึ่งถือเป็นอีกตอนยอดนิยมในฮันเตอร์ x ฮันเตอร์ ทั้งในเวอร์ชั่นปี 1999 และเวอร์ชั่นปี 2011 นับเป็นอีกหนึ่งในฉากหลังของเรื่องที่ช่วยขับบรรยากาศของการแก้แค้นให้ดูน่ากลัวและมีมนต์ขลังยิ่งขึ้น
พระจันทร์สีเลือดอาจฟังดูไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในปัจจุบัน แต่ในทางความเชื่อที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน พระจันทร์สีเลือดมักจะถูกตีความหมาย รวมถึงถูกทำนายตามหลักความเชื่อต่าง ๆ ไปในทิศทางที่น่ากลัว เช่น การเกิดลางร้าย ไปจนถึงสัญญาณแห่งวันสิ้นโลก และในบทความนี้ เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับพระจันทร์สีเลือด ว่าแท้ที่จริงแล้วพระจันทร์สีเลือดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับลางร้าย หรือการล้างแค้นที่ปรากฏอยู่ในเรื่องหรือไม่ รวมทั้งตำนาน และหลากหลายความเชื่อของพระจันทร์สีเลือด
ภาพการเกิดจันทรุปราคา |
พระจันทร์สีเลือดถูกเรียกในชื่อที่เรารู้จักคุ้นเคยกันดี นั่นก็คือ "จันทรุปราคา" (Lunar Eclipse) หรือชื่ออื่น ๆ เช่น จันทรคราส, ราหูอมจันทร์, กบกินเดือน เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านหลังโลก เกิดได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์เรียงตัวตรงกันพอดีหรือใกล้เคียงกันมาก โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง ชนิดและระยะของจันทรุปราคาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงจันทร์เทียบกับวงโคจร และเมื่อจันทรุปราคาเกิดขึ้นแล้ว ดวงจันทร์จะไม่มืดสนิทเหมือนดวงอาทิตย์ยามเกิดสุริยุปราคา เพราะแสงอาทิตย์บางส่วนจะสามารถหักเหเล็ดลอดผ่านโลก มายังดวงจันทร์ได้ โดยเฉพาะแสงคลื่นยาว เช่น แสงสีแดง จึงทำให้มองเห็นดวงจันทร์เป็นสีแดงคล้ำ ๆ เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้
ระดับ 0 ดวงจันทร์มืดจนแทบมองไม่เห็น
ระดับ 1 ดวงจันทร์มืด เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล แต่มองไม่เห็นรายละเอียด พื้นผิวของดวงจันทร์
ระดับ 2 ดวงจันทร์มีสีแดงเข้มบริเวณด้านในของเงามืด และมีสีเหลืองสว่างบริเวณด้านนอกของเงามืด
ระดับ 3 ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐ และมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบของเงามืด
ระดับ 4 ดวงจันทร์สว่างสีทองแดงหรือสีส้ม ด้านขอบของเงาสว่างมาก
และสาเหตุที่ดวงจันทร์เป็นสีแดง หรือที่เรียกกันว่า "พระจันทร์สีเลือด" เป็นเพราะว่าแสงจากดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่ถูกโลกบัง แต่ก็ยังมีแสงอาทิตย์บางส่วนเดินทางไปตกกระทบดวงจันทร์ได้ ทำให้ดวงจันทร์ยังสามารถสะท้อนแสงมายังโลกได้เล็กน้อย แต่แสงจากดวงอาทิตย์ที่เล็ดลอดจากเงาโลกผ่านไปยังดวงจันทร์ได้นั้น จะเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศของโลกและเกิดการกระเจิง (Scatter) แสงสีน้ำเงินที่มีความยาวคลื่นสั้นจะถูกกระเจิงออกไป เหลือเพียงแสงสีแดงซึ่งมีความยาวคลื่นมากกว่า และแสงสีแดงที่เล็ดลอดไปได้นี้เองที่ไปตกกระทบกับดวงจันทร์ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "พระจันทร์สีเลือด" ขึ้น
พระจันทร์สีเลือดยามค่ำคืน ณ ประเทศกรีซ |
ตามปกติแล้ว พระจันทร์เต็มดวงในแต่ละเดือนจะถูกตั้งชื่อต่าง ๆ มาโดยตลอดตั้งแต่โบราณ โดยชื่อเรียกของพระจันทร์ตามหลักดาราศาสตร์ถูกแบ่งเป็น 2 หมวดหลัก คือพระจันทร์ที่ขึ้นจากฝั่งซีกโลกเหนือ และพระจันทร์ที่ขึ้นจากฝั่งซีกโลกใต้ รวมทั้งชื่อแยกย่อยตามเดือนทั้ง 12 เดือน
ในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดวงจันทร์นั้นทิ้งปริศนาไว้มากมาย จนทำให้กลุ่มคนที่มีความเชื่อและความศรัทธาในศาสนา มองว่าอาจะเป็นการเตือนจากพระเจ้า จึงทำให้มีหนังสือด้านปรัชญามากมายที่ถูกตีพิมพ์ออกมาเพื่อเรียกกระแสจันทรุปราคา โดยในปี 2013 มีหนังสือขายดีเรื่อง Four Blood Moons : Something is About to Change เขียนโดย John Hagee ซึ่งมีประโยคในหนังสือที่ยกมาจากพระคัมภีร์ไบเบิลว่า "The sun will be turned to darkness, and the moon to blood before the great and dreadful day of LORD comes."
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ยังไปเกี่ยวพันกับความเชื่อของศาสนายิว เพราะจันทรุปราคานั้นเกิดตรงกับช่วงเทศกาลสำคัญพอดี คือเทศกาลปัสกาและเทศกาลอยู่เพิง ทำให้สื่อต่าง ๆ หันมาเรียกปรากฏการณ์จันทรุปราคาให้ออกไปในทิศทางที่น่ากลัวว่า Blood Moons หรือ พระจันทร์สีเลือดนั่นเอง
และเมื่อเกิดจันทรุปราคา จึงทำให้คนตีความไปตามความเชื่อเช่น พระจันทร์สีเลือดอาจเป็นเหตุทำให้เกิดอาเพศ บางคนถึงกับเชื่อสุดใจว่าพระจันทร์สีเลือดที่ปรากฏบนท้องฟ้า อาจบ่งบอกถึงวันพิพากษา และวันสิ้นสุดของโลกที่กำลังจะมาถึง ดังนั้น ปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดจึงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่มีใครอยากจะเห็นสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อใดที่มันปรากฏขึ้น ย่อมหมายถึงสัญญาณของวันพิพากษาที่กล่าวอ้างไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในบทกิจการอัครสาวก บทที่ 2 ข้อที่ 20 และบทวิวรณ์ บทที่ 6 ข้อที่ 12
ในส่วนของตำนานและเรื่องเล่าจากหลากหลายความเชื่อของผู้คนทั่วโลก มีปรากฏว่าแทบจะทั่วทุกมุมโลกต่างก็มีความเชื่อในเรื่องของการเกิดจันทรุปราคารวมถึงสุริยุปราคาด้วยกันทั้งสิ้น บ้างก็คล้ายคลึงกัน แต่ก็จะแตกต่างกันบ้างตามลักษณะความเชื่อ และอ้างอิงจากวัฒนธรรมที่คนแต่ละท้องถิ่นนั้นคุ้นเคย
ตำนาน Ragnarok ของชาวไวกิ้ง (Viking)
ตำนานแรกนาร็อค (Ragnarok) วันพิพากษาเทพเจ้า หรือ Gotterdammerung คือสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างเหล่าเทพฝ่ายดีกับเหล่าเทพฝ่ายร้าย หลังจบสงคราม เอกภพจะดับสูญและจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกเลย เป็นจุดจบแห่งจักรวาล โดยเริ่มจากเหมันต์แห่งเหมันต์ หรือฤดูหนาวอันยาวนานติดกัน 3 ฤดูโดยไม่มีฤดูร้อนคั่นกลาง ความขัดแย้งและความอาฆาตพยาบาทจะกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ศีลธรรมจะดับสูญ หมาป่าทั้งสองซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หมาป่าสโคล (Skoll) จะกลืนกินดวงอาทิตย์ และพี่ของมัน หมาป่าฮาติ (Hati) จะกลืนกินดวงจันทร์ จนโลกมืดมิดไปทุกหนแห่งดวงดาวทั้งหลายหายไปจากฟากฟ้า หมาป่าสองตัวนี้มีความปรารถนามาตั้งแต่เกิดคืออยากจะกัดกินดวงดาวทั้งสองให้สิ้นซาก และก็สามารถทำได้สำเร็จตามตำนานแรกนาร็อค
หมาป่าสโคลและฮาติ ไล่กัดกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ |
ตำนานกรีก - โรมันโบราณ
ตามวรรณคดีกรีกและโรมันโบราณ ได้กล่าวถึงตำนานและความเชื่อของการเกิดพระจันทร์สีเลือดนี้ไว้ว่าเกิดจากการดึงพระจันทร์ ซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ที่ใช้ทำเสน่ห์จำพวกหนึ่ง เป็นเวทย์มนตร์คาถาที่นิยมใช้กันมากในหมู่แม่มดแห่งเมืองเทสซาลี (Thessaly) ปัจจุบันอยู่ในประเทศกรีซ โดยว่ากันว่า แม่มดจะเปลือยกายทำพิธีแล้วกล่าวว่า "ท่านหญิงแห่งดวงจันทร์ จงฟังข้า" จากนั้นก็จะทำการมัดพระจันทร์ เมื่อพระจันทร์ถูกดึงลงมา พระจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด หรือสีแดงเลือด พร้อมทั้งทิ้งฟองสีขาว หรือน้ำหวานจากพระจันทร์ไว้ตามต้นไม้ใบหญ้า เพื่อให้แม่มดเก็บไปทำยาเสน่ห์
กวีพลูทาร์ค (Plutarch) ได้อธิบายการดึงพระจันทร์ไว้ว่าเป็นการพยายามตีความการเกิดจันทรุปราคาในรูปแบบหนึ่ง โดยนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องเหนือธรรมชาติ การดึงพระจันทร์นี้ทำให้เห็นความน่าสนใจว่า ในหลายวัฒนธรรม ก็มีการขอพรจากพระจันทร์มายาวนานเช่นกัน ทั้งด้านความรัก และการขอพรทั่วไป
ตำนานของชาวอินเดียนเซอร์ราโน
ชาวอินเดียนเซอร์ราโน (Serrano Indian) เป็นชนพื้นเมืองอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมีความเชื่อที่แตกต่างออกไป พวกเขาชื่อว่าคราส หรือจันทรุปราคาและสุริยปราคานั้น เกิดจากการที่วิญญาณของคนตายกำลังจะกัดกินดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ดังนั้น ในช่วงระหว่างการเกิดคราส พ่อมดหมอผี หรือ Shaman รวมทั้งบริวารจะร้องรำทำเพลงและเต้นรำ เพื่อขอให้ดวงวิญญาณปลดปล่อยดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ในขณะที่คนอื่น ๆ จะตะโกนร้องเสียงดังเพื่อให้วิญญาณตกใจหนีไป
ตำนานของชาวโพโม
ชาวโพโม (Pomo) ชนพื้นเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่ในแถบรัฐแคลอฟอร์เนียตอนเหนือ ก็มีตำนานเกี่ยวกับหมี ซึ่งเดินทางไปยังทางช้างเผือก เมื่อหมีพบกับดวงอาทิตย์ ต่างฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันว่าใครควรจะหลีกทางให้ เมื่อเถียงไม่ได้ผลจึงเกิดการต่อสู้กัน ทำให้เกิดเป็นสุริยุปราคา แต่ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างก็แยกกันไปทางใครทางมัน จนกว่าจะโคจรมาพบกันอีก ส่วนจันทรุปราคานั้นก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน คือหมีไปพบกับดวงจันทร์บนทางช้างเผือก เกิดการโต้เถียงและต่อสู้กัน
ตำนานฮินดูโบราณ
ราหูถูกนางโมหิณีใช้จักรบั่นเศียรจนขาด |
ชาวฮินดูโบราณมีตำนานราหูอมอาทิตย์และราหูอมจันทร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการกวนเกษียรสมุทร อสูรตนหนึ่งชื่อ ราหู ได้แปลงกายเป็นเทวดา และแอบแฝงตัวเข้ามาดื่มน้ำอมฤตเข้าไปด้วย เมื่อเทพพระอาทิตย์และเทพพระจันทร์เห็นเข้าจึงฟ้องนางโมหิณี นางโมหิณีนี้ แท้จริงแล้วคือพระนารายณ์ซึ่งจำแลงพระองค์มาหลอกเอาน้ำอมฤตจากพวกอสูรกลับไปให้เหล่าเทวดา นางโมหิณีจึงใช้จักรสุทรรศนะบั่นเศียรของราหู แต่เนื่องจากราหูดื่มน้ำอมฤตลงไปจนถึงคอแล้ว เศียรจึงยังคงเป็นอมตะอยู่ ด้วยเหตุนี้ ราหูจึงโกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่นำเรื่องไปฟ้อง จึงคอยจ้องจะแก้แค้นโดยการกินพระอาทิตย์กับพระจันทร์เมื่อมีโอกาส เกิดเป็นสุริยุปราคา (ราหูอมอาทิตย์) และจันทรุปราคา (ราหูอมจันทร์) มาตั้งแต่บัดนั้น
ตำนานของมนุษย์หมาป่า
อีกหนึ่งความเชื่อที่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์หมาป่ามาช้านาน โดยเฉพาะในช่วงยุโรปยุคกลาง โดยเชื่อกันว่ามนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ถ้าหากเป็นคืน "พระจันทร์สีเลือด" มนุษย์หมาป่าจะมีพลังอำนาจที่กล้าแกร่งมาก ดังนั้น ก่อนจะถึงคืนพระจันทร์สีเลือด ชาวยุโรปสมัยก่อนจะนำสิ่งมีชีวิตมาเซ่นบูชามนุษย์หมาป่า โดยมีความเชื่อว่า เพื่อไม่ให้มนุษย์หมาป่ามาทำร้ายมนุษย์นั่นเอง
จากหลากหลายตำนานและความเชื่อที่ได้กล่าวไป โดยส่วนมากแล้วก็มักจะเกี่ยวข้องกับความหายนะ หรือวันพิพากษา และจุดจบของโลก ดังนั้น Blood Moon หรือดวงจันทร์สีเลือดที่ได้ปรากฏขึ้นในตอนที่คุราปิก้าล้างแค้นอุโบกิ้น อาจจะเป็นสัญลักษณ์บอกผ่านทางอ้อมว่า ค่ำคืนนั้นจะเป็นค่ำคืนสุดท้าย และจุดจบของอุโบกิ้น นอกจาก Blood Moon ที่ปรากฏให้เห็นในฉากของการแก้แค้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉากของเรื่องดูสมบูรณ์แล้ว ยังอาจจะแฝงนัยยะต่าง ๆ ตามความเชื่อ เกี่ยวกับจุดจบของมนุษย์ ที่ได้จบชีวิตลงเพราะการแก้แค้นก็เป็นได้
อากิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น